ศาลให้ฝากขัง ’ดาว‘ พี่สาวเมียทนายตั้ม สมคบฟอกเงินฉ้อโกงพี่อ้อย กองปราบค้านประกัน เผยรับคำสั่งจาก "ษิทรา" เปลี่ยนมือถือลบหลักฐานการติดต่อ

เผยแพร่ : 27 พ.ย. 2567 15:21:16
X
• กองปราบและผู้เสียหายคัดค้านการประกันตัว
• พฤติการณ์ก่อนจับกุม "ดาว" มีการเปลี่ยนเครื่องและเบอร์โทรศัพท์ เพื่อทำลายหลักฐานการติดต่อกับ ษิทรา เบี้ยบังเกิด (ทนายตั้ม)
• "ดาว" รับคำสั่งจาก ษิทรา

ศาลอาญาให้ฝากขัง ’ดาว‘ พี่สาวเมีย "ทนายตั้ม" ข้อหาสมคบฟอกเงินฉ้อโก้งพี่อ้อย 39 ล้านบาท กองปราบ-ผู้เสียหายคัดค้านประกันตัว เผยพฤติการณ์ก่อนถูกจับรับคำสั่งจาก "ษิทรา" เปลี่ยนเครื่อง-เบอร์มือถือทำลายหลักฐานการติดต่อ มีร่องรอยขนย้ายทรัพย์สิน วันเกิดเหตุไม่ได้ไปรับลูกทนายตั้มที่โรงเรียนตามอ้าง ล่าสุดศาลอนุญาตให้ประกัน วงเงิน 1 ล้านบาท แต่วางเงื่อนไขห้ามเดินทางต่างประเทศ

เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (27 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ควบคุมตัว น.ส.ปิณฑิรา หรือดาว การิวัลย์ อายุ 43 ปี พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ ในความผิดฐาน "ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน" มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน

คำร้องระบุพฤติการณ์แห่งคดีว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรืออ้อย ผู้เสียหายได้ว่าจ้าง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ต่อมานายษิทรา หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยการหลอกลวงนั้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อส่งมอบเงินให้กับนายษิทรา หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน ดังนี้

1.ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ แต่อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมและระบก่อน เป็นเงินจำนวนระหว่าง 2 ล้านยูโร พร้อมกับได้นำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของนายษัทรา จำนวน 71,067,764 บาท

2.ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายได้มอบหมายให้นายษิทราหาชื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์รุ่นจี 400 จากนั้นนายษิทราได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ยี่ห้อและรุ่นดังกล่าวได้แล้วจากบริษัท 999อิมพอร์ต จำกัด ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์ จำนวน 30,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้ว รถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ผู้เสียหายหลงเชื่อได้ได้โอนเงินชำระค่ารถยนต์คันดังกล่าว ไปเข้าบัญชีเงินธนาคารของนายษิทรา ทำให้นายษิทรา ได้ไปซึ่งเงินค่าส่วนต่างราคารถยนต์ และค่าฟิล์มรถยนต์ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท

3.ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า นายษิทรา ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัท ปีเตอร์ คอนสตรัคชั้น 1987 จำกัด เป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ดิแองเจิ้ล ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยนายษิทราอ้างว่ามีค่าจ้างเขียนแบบโรงแรม เป็นเงินจำนวน 9 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วนายษิทราได้ไปว่าจ้างบริษัท กริต อาร์คิเทคท์ จำกัด ให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้กับผู้เสียหายแล้ว ในราคา 3 ล้าน 5 เเสนบาท ผู้เสียหายหลงเชื่อได้โอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าว จำนวน 9 ล้านบาท ไปเข้าบัญชีธนาคารของนางพจมาน บัวลาส กรรมการผู้มีอำนาจจัดการของบริษัท ปีเตอร์ฯ จากนั้นได้ถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปมอบให้กับนายษิทราทำให้นายษิทรา ได้ไปซึ่งเงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 5 ล้าน 5 เเสนบาท

4.ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ และน.ส.สารินี นุชนารถ ได้ร่วมกัน หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่านายนุวัฒน์ มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลนิทคอยน์ได้ ผู้เสียหายจึงให้นายนุวัฒน์ โอนสกุลเงินดิจิทัล บิทคอยน์ให้กับผู้ใช้อินสตาร์แกรมชื่อบัญชี เฉินคุน จากนั้นได้หลอกลวงผู้เสียหายว่านายนุวัฒน์ ได้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของน.ส.สารินี โอนเงินไปยังบุคคลดังกล่าวแล้วทำให้กระเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี ถูกระงับการใช้งาน ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน จำนวน 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันแจ้งกรณีถูกอายัดเงินดังกล่าวไปให้ผู้เสียหายดูทางแอปพลิเคชั่นไลน์ด้วย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลของน.ส.สารินี ถูกระงับจริง ทั้งที่ความจริงแล้วกระเป้าเงินสกุลดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และน.ส.สารินีไม่ได้ถูกระงับการใช้งานแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เซ็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาขน) สาขาโลตัสปากช่อง สั่งจ่ายเงิน จำนวน 39 ล้านบาท ให้กับน.ส.สารินี แล้วนายนุวัฒน์ กับน.ส.สารินี ได้ร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของน.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรานายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ได้ร่วมกันเบิกถอนเงินสด จำนวน 39 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของน.ส.สารินี พฤติการณ์และการกระทำของนายษิทรากับพวก ถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และ ตำรวจ กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม สืบสวนพบว่านายษิทรา กับพวก ได้กระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ดังต่อไปนี้

1.กรณีที่นางสาวจตุพร ได้โอนเงินจำนวน 9 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าว่าจ้างออกแบบการก่อสร้างโรงแรม ไปเข้าบัญชีธนาควรกรุงศรือยุธยา จำกัด (มหาชน) ของนางพจมาน บัวลาศ ตามที่นายษิทรา หลอกลวงดังกล่าวจากการสืบสวนพบว่าต่อมานางพจมาน และนายเขมวัฒน์ ได้เบิกถอนเงินสดจำนวนดังกล่าวนำไปมอบให้กับนายษิทรา ตามคำสั่งของนายษิทรา แล้วนายษิทรา ได้แบ่งเงินสดดังกล่าวใส่ของกระดาษ แล้วนำไปมอบให้กับนางสาวปิณฑิรา การวัลย์ ผู้ต้องหา แล้วผู้ต้องหาได้นำเงินสดจำนวน 1 ล้านบาท ที่ได้รับมาดังกล่าว ไปทำธุรกรรมฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล ศาลายาของผู้ต้องหา

2.กรณีที่น.ส.จตุพร ได้ซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา สั่งจ่ายเงินจำนวน 39 ล้านบาท ให้กับน.ส.สารินี ตามที่ได้ถูกนายษิทรา นายนุวัฒน์ ยงยุทธ และน.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดีจิตอลถูกระงับ แล้วนายนุวัฒน์ กับน.ส.สารินี ได้นำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของน.ส.สารินี นั้น จากการสืบสวนพบว่าต่อมานายษิทรา ได้แจ้งให้ผู้ต้องหา นำกระเป๋าเดินทางไปพบนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เพื่อไปรับเงินสดจำนวนดังกล่าว แล้วผู้ต้องหา ได้แจ้งให้คนขับรถของนายษิทราขับรถยนต์พาผู้ต้องหา พร้อมกับกระเป๋าเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อไปถึงผู้ต้องหาได้สั่งการให้คนขับรถนำกระเป๋าเดินทางไปพบนายนุวัฒน์ ภายในธนาคารกรุงครีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว ส่วนผู้ต้องหา ยืนรออยู่บริเวณหน้าธนาคารดังกล่าว โดยนายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ได้เบิกถอนเงินสดจำนวน 39 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ของน.ส.สารินี แล้วมอบเงินสด จำนวน 20 มัด คิดเป็นเงินรวม 20 ล้านบาท ให้กับคนขับรถเพื่อบรรจุใส่ในกระเป๋าเดินทางดังกล่าว จากนั้นผู้ต้องหาได้สั่งการให้คนขับรถขับรถยนต์พาผู้ต้องหาพร้อมกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเงินจำนวนดังกล่าวกลับบ้านพักที่ผู้ต้องหา และนายษิทราพักอาศัยอยู่ด้วยกัน แล้วนำกระเป๋าเดินทางดังกล่าวไปเก็บไว้ภายในบ้านพักบริเวณหน้าบันไดชั้นที่ 2 ของบ้าน

พฤติการณ์และการกระทำของนายษิทรา, นายนุวัฒน์, น.ส.สารินี และผู้ต้องหาดังกล่าว จึงเป็นการโอนรับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้นเพื่อปกปิดอำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มา แหล่งที่ตั้งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการ กระทำความผิดด้วย
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางลงวันที่ 30 ต.ค.2567 ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหา ตามหมายจับของศาลอาญาลงวันที่ 26 พ.ย.2567 โดยกล่าวหาผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน"ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"

ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พ.ย. เวลา 16.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจ ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายดังกล่าวได้ที่บริเวณชั้น 9 ของห้างสรรพสินค้าสยามสเคป ถนนพญาโท แขวงและเขตปทุมวัน กทม.ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 3กองบังคับการปราบปรามดำเนินคดีตามกฎหมาย

การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน "ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 3(18), มาตรา 5 , 9 วรรคสอง และมาตรา 60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับ 4) พ.ศ.2556 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83

พนักงานสอบสวนได้สอบสวนแล้ว หากแต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนพยานอีก 10 ปาก พยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุม ตรวจค้นรอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา

กรณีผู้ต้องหาขอให้ปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน 1.เนื่องจากคดีที่ผู้ต้องหา ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดนี้ มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงถึง 10 ปี

2.ผู้ต้องหามีการกระทำต่อทรัพย์สินเป็นเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงผู้เสียหาย จำนวนสูงถึง 39 ล้านบาทในลักษณะเป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินดังกล่าวต่อไปอีก โดยมีเจตนาเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินเพื่อให้ยากต่อการสอบสวนและติดตามทรัพย์สินนั้น

3.ก่อนที่ผู้ต้องหา จะถูกจับกุมตัว มีการเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ ตามคำสั่งของนายษิทราเจตนาเพื่อให้ยากต่อการติดตามตัวและเป็นการทำลายหลักฐานการติดต่อ รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีที่มีอยู่ในโทรศัพท์

4.ผู้ต้องหาเคยให้การในฐานะพยาน อ้างถิ่นที่อยู่ว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2556 เวลา 17.00 น.(วันเกิดเหตุ) ผู้ต้องหาได้ไปรับบุตรของนายษิทรา ที่โรงเรียน โดยมีการนำภาพถ่ายสถานที่จากโทรศัพท์มือถือถือของบุตรนายพิทรา มาอ้างใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบคำให้การ แต่ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ได้ไปรับบุตรของนายษิทราตามวันเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด

5.จากการตรวจค้นบ้านพักของนายษิทรา ที่ผู้ต้องหาอาศัยอยู่ด้วย พบมีร่องรอยการขนย้ายทรัพย์สินออกจากตู้นิรภัย ซึ่งบุคคลที่รู้รหัสและสามารถเปิดตู้นิรภัยดังกล่าวได้มีเพียงนายษิทรา, น.ส.ปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยาของนายษิทรา) และผู้ต้องหาเท่านั้น จึงเชื่อว่าผู้ต้องหานี้มีส่วนรู้เห็นในการขนย้ายทรัพย์สินต่างๆ ออกไปจากตู้นิรภัยด้วย ทำให้ยากต่อการติดตามทรัพย์สิน

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

นอกจากนี้ท้ายคำร้องผู้เสียหายขอคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากคดีมีอัตราโทษจำคุกและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขัง

ภายหลังทนายความ น.ส.ปิณฑิรา หรือดาว พี่สาวภรรยาทนายตั้มผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ระหว่างฝากขัง

ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว วงเงิน 1 ล้านบาท โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

หลังได้รับการปล่อยชั่วคราว น.ส.ปิณฑิรา หรือดาว เดินทางกลับทันที โดยไม่ได้ปรากฎตัวต่อสื่อมวลชนที่รอทำข่าวอยู่ที่ศาลอาญา

ที่มา : MgrOnline