“หม่อมกร” โต้ “สุรเกียรติ์” ทำคนเข้าใจผิดปม MOU44 ยันยกเลิกได้ มีแนวทางที่ดีกว่าคือเจรจาตามกรอบกฎหมายทะเลสากลก่อนทำ MOU

เผยแพร่ : 26 พ.ย. 2567 18:08:50
X
• ชี้ MOU44 ทำให้สังคมเข้าใจผิด โดยเสนอให้กัมพูชาขีดเส้น 200 ไมล์ทะเลได้โดยไม่จำกัด
• ระบุว่า การกระทำดังกล่าวขัดกับกฎหมายสากลที่ห้ามลากเส้นทะเลเกินเส้นกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง
• เส้นที่กัมพูชาลากขึ้นมาจึงใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงไม่ได้ แต่กลับถูกนำมาใช้ในข้อตกลง

“หม่อมกร” ชี้ “สุรเกียรติ์” ทำสังคมเข้าใจผิดเกี่ยวกับ MOU44 ยอมรับให้เขมรขีดเส้น 200 ไมล์ทะเลออกไปทางไหนก็ได้ ทั้งที่ตามกฎหมายสากลห้าม เลยเส้นกึ่งกลางเกาะกูดกับเกาะกง เส้นที่กัมพูชาลากขึ้นมาจึงเอาไปอ้างอิงที่ไหนไม่ได้ แต่กลับมาอยู่ใน MOU44 ยันหากยกเลิกมีแนวทางที่ดีกว่า คือ ใช้อนุสัญญาเจนีวา 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982 เป็นกรอบเจรจา เหมือนที่ไทยเคยทำกับมาเลเซีย พม่า และเวียดนาม แล้วค่อยทำ MOU รับรองผลเจรจา

วันที่ 25 พ.ย.ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ที่ปรึกษาศูนย์นโยบายและวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “คุยกับหม่อมกร” ว่า “ผมได้อ่านข่าวที่ท่านอาจารย์ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย บรรยายเรื่อง MOU44 โดยกล่าวถึงประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกัน ไทย กับ กัมพูชา จัดโดย THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน

ผมเห็นว่า การบรรยายของท่านทำให้สังคมเข้าใจผิดเกี่ยวกับ MOU44 จึงขออภัยท่านอาจารย์ และขอโต้แย้ง ดังนี้

ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวว่า สาเหตุของการทับซ้อนนั้น เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยทะเลให้ประกาศเขตเศรษฐกิจออกไปได้ 200 ไมล์ทะเล แต่อ่าวไทยมีความกว้างไม่ถึง 200 ไมล์ทะเล เพราะฉะนั้นเมื่อไทยประกาศเขตเศรษฐกิจ 200 ไมล์ทะเล จึงทับซ้อนกับกัมพูชาที่ประกาศเขตเศรษฐกิจ 200 ไมล์ทะเลเช่นกัน (ผมตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดเดียวกับ รมว.ภูมิธรรม แทบทุกคำ!!!)

คำกล่าวนี้ทำให้ผมเข้าใจทันทีว่า ข้อผิดพลาดที่นำประเทศไปสู่ความเสี่ยงเกิดจากขณะที่ท่านเซ็น MOU44 กับกัมพูชานั้น ท่านยังไม่เข้าใจกฎหมายทะเลสากล ดังนี้

1. อนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล 1958 ข้อ 12

2. อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982 (UNCLOS 3) ข้อ 15
กฎหมายสากลทั้งสองระบุว่า “กรณีที่ฝั่งทะเลสองรัฐประชิดกัน ถ้าไม่ได้ตกลงเป็นอย่างอื่น รัฐใดย่อมไม่มีสิทธิขยายทะเลอาณาของตนเลยเส้นมัธยะ”

กรณีไทย-กัมพูชา เส้นมัธยะ คือ เส้นที่ทั้งสองประเทศลากจากหลักเขตที่ 73 แบ่งกึ่งกลางระหว่างเกาะกูด กับ เกาะกง เพื่อความเป็นธรรมในการเดินเรือ (ตามภาพประกอบ)



ดังนั้น การขีดเส้น 200 ไมล์ทะเล จึงต้องลากออกจากเส้นมัธยะนี้ มิใช่ดังที่ ดร.สุรเกียรติ์ อธิบาย ทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ว่า ทุกประเทศมีสิทธิไปลากเส้นจากฝั่งทะเลไปทิศทางใดก็ได้ 200 ไมล์ ตามอำเภอใจแบบกัมพูชาทำ พื้นที่ทะเลรอบเกาะกูดของไทยจึงถูกกัมพูชาลากเส้นทับซ้อนตั้งแต่ชายฝั่งไปชนเกาะกูดซึ่งกรณีแบบนี้ไม่ปรากฏแบบนี้ที่ใดในโลก (ตามภาพประกอบ)



นอกจากนี้ ท่านยังขาดข้อมูลประวัติในการเจรจาระหว่าง ไทย กับ มาเลเซีย พม่า และเวียตนาม ที่ใช้กฎหมายทะเลสากลเป็นกรอบในการเจรจาทุกกรณีตามที่นายกรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ ส่วน MOU จะเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนเกือบสุดท้าย เพื่อบันทึกผลสำเร็จของการเจรจานั้นๆ

กรณี ไทย กัมพูชา ก็ควรยึดถือหลักการเดิมที่ใช้ในการเจรจาสำเร็จแล้วกับทุกประเทศ (ตามที่ ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ผมฟัง) คือ

1) คณะรัฐมนตรีตั้งคณะเจรจาขึ้นก่อน

2) กรอบการเจรจา คือ กฎหมายสากลระหว่างประเทศทั้งอนุสัญญาเจนีวา 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982

3) ทำ MOU เพื่อบันทึกผลสำเร็จของการเจรจา (MOU ไม่ใช่กรอบการเจรจา)

4) ประกาศพระบรมราชโองการ รองรับเส้นเขตแดนใหม่ที่เป็นผลของการเจรจา

การเจรจาทุกประเทศมีเป้าหมาย คือ การกำหนดเส้นเขตแดนให้ถูกต้องเป็นอันดับแรก ไม่ใช่คิดเรื่องขุดปิโตรเลียมร่วมกับใคร เพราะทุกประเทศต้องการมีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์เพราะบริหารจัดการง่ายกว่าและเป็นอิสระกว่า

กรณีของไทย มาเลเซีย การพัฒนาร่วมเกิดขึ้นด้วยปัญหาทางกายภาพ คือ เมื่อเจรจาจนเหลือพื้นที่เล็กที่สุดแล้วยังหาข้อสรุปไม่ได้เรื่องเกาะโลซินของไทย ทางมาเลเซียสำรวจแล้วพบว่ามีบ่อน้ำมันอยู่ตรงกลางหากแบ่งพื้นที่คนละครึ่งก็จะมีปัญหาแย่งกันสูบน้ำมันในบ่อเดียวกัน จึงเสนอการพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกัน

กรณี ไทย กัมพูชา ภายใต้ ดร.สุรเกียรติ์ จึงผิดแผกแตกต่างจากทุกกรณีที่เคยมีมา เรียกว่า เกิดขึ้นแบบย้อนเกล็ด คือ เกิด MOU ขึ้นก่อน แล้วอ้างว่า MOU เป็นกรอบการเจรจา (ผมคาดว่า เป็นแผนที่กัมพูชาวางร่วมกับนักการเมืองไทยที่ไม่ใช่ ดร.สุรเกียรติ์) โดยมีเป้าหมาย คือ การลดสถานะความสำคัญของเส้นพระราชอาณาเขตที่ประกาศตามพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ิ 9 ให้เท่ากับเส้นเขตแดนทางทะเล (ที่ผิดกฎหมายสากล) ของกัมพูชาที่ขีดขึ้นตามอำเภอใจ ที่เสียเหลี่ยมการเมืองระหว่างประเทศที่สุด คือ การนำมาใส่ไว้ในแผนที่แนบท้ายคู่กัน ทั้งที่เส้นที่ผิดกฎหมายของกัมพูชานี้ ไทยไม่เคยแสดงการรับรู้จึงไม่เคยปรากฏเอกสาราชการไทยมาก่อนปี 2544

แม้จะเขียนไว้ในข้อ 5 ว่าไม่ได้ยอมรับเส้นของกัมพูชา แต่การรับรู้ถึงเส้นอ้างสิทธิที่ผิดกฎหมาย ก็ถือว่า ขัดกับหลักการเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ประกาศว่า การกำหนดไหล่ทวีปกับประเทศใกล้เคียงให้ ยึดถือกฎหมายทะเลสากลเจนีวา 1958 ซึ่งกัมพูชาเจตนาละเมิดกฎหมายอย่างแจ้งชัด

ดร.สุรเกียรติ์ ยังกล่าวว่า MOU44 มีข้อดี 3 ข้อ ซึ่งผมจะแย้งทีละข้อ ดังนี้

1. ท่านกล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ตั้งคณะกรรมการเจรจา ไม่มีการเสียดินแดน

ผมเห็นว่า ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเคยมีการตั้งคณะเจรจามาก่อนแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ในรัฐบาลจอมพลถนอม พ.ศ. 2535 และ พ.ศ. 2538 ในรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ไทยยึดกรอบกฎหมายสากลทางทะเลในการเจรจา กัมพูชาเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสากลจึงเจรจาไม่ได้ หากไทยอ่อนข้อให้กัมพูชาละเมิดกฎหมายสากล ไทยมีแต่จะเสียเปรียบ

2. ท่านกล่าวว่า จะเจรจาผลประโยชน์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเจรจาไปพร้อมกับเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเลที่ทับซ้อนกันอยู่ เป็น Indivisible Package ที่แบ่งแยกไม่ได้

ผมเห็นว่า ข้อนี้ก็มีความอันตรายอยู่ดี สุดท้าย กัมพูชายอมเจรจาเส้นเขตแดน 11 องศาเหนือบริเวณเกาะกูด (ทั้งที่ตามกฎหมายทะเลเป็นของไทยอยู่แล้ว) และ ใต้เส้น 11 องศาเหนือ ก็ขุดปิโตรเลียมไปพร้อมกัน แบ่งเงินค่าภาคหลวงกันคนละคนละครึ่ง หากทำเช่นนี้เมื่อใด กัมพูชาจะเอาหลักฐานการแบ่งค่าภาคหลวงนี้ขึ้นศาลโลกและแบ่งพื้นที่ทางทะเลใต้เส้น 11 องศาเหนือครึ่งหนึ่งในอนาคต เรียกว่าเสียทั้งปิโตรเลียมเสียทั้งดินแดน ไปพร้อมกัน Indivisible Package เรียบร้อยโรงเรียนกัมพูชา!!!

3. ท่านกล่าวว่า MOU จะไม่กระทบต่อการอ้างสิทธิของไทยและกัมพูชา หากการเจรจาล้มเหลว ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อการอ้างสิทธิใดๆ ของไทย

ผมเห็นว่า ข้อนี้เป็นการเสียเหลี่ยมให้กัมพูชาอย่างยิ่ง เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชานั้นนำไปอ้างที่ไหนในโลกไม่ได้ เพราะผิดกฎสากลทางทะเลแต่กลับปรากฏขึ้นในเอกสารราชการไทยที่ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและให้สัตยาบันโดยนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย กลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งชี้ว่า ไทยอาจไม่แน่ใจในเส้นเขตแดนของตนเอง

ประเด็นเดียวที่ผมเห็นด้วยกับ ดร.สุรเกียรติ์ คือ MOU ยกเลิกได้ ส่วนที่ท่านมีคำถามว่า ยกเลิกแล้วจะได้ความตกลงที่ดีกว่านี้หรือไม่ ขอตอบว่า มีครับ คือ ใช้กฎหมายสากลระหว่างประเทศเป็นกรอบในการเจรจา เหมือนกับกรณีที่เจรจากับมาเลเซีย เวียดนาม และพม่า จนประสบความสำเร็จมาแล้ว

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านอาจารย์ ดร.สุรเกียรติ์ ทำเรื่องนี้ด้วยใจสุจริต และหวังดีต่อชาติบ้านเมือง แต่ข้าราชการบางคนกลับให้ข้อมูลท่านไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนในการตัดสินใจในครั้งนั้น

“ผมในฐานะอดีตนิสิตต้องกราบขออภัยท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงที่จำเป็นต้องโต้แย้ง เพราะ หากให้ MOU 2544 เดินหน้าต่อไปจะเป็นเรื่องอันตราย เป็นภัยต่อบ้านเมืองในอนาคต

“กราบขออภัยท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ และขอแสดงความนับถือ
ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี”


ที่มา : MgrOnline