ศาลอาญายกฟ้อง "รัชฎา" อดีต อธ.กรมอุทยาน ฟ้อง "ชัยวัฒน์" ชี้ไม่ได้กลั่นแกล้งล่อซื้อรับเงินส่วย

เผยแพร่ : 19 พ.ย. 2567 11:24:16
X
• คดีกล่าวหาว่านายชัยวัฒน์กลั่นแกล้งในการดำเนินคดีล่อซื้อรับเงินส่วย 78,000 บาท
• ศาลเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่านายชัยวัฒน์กระทำความผิด
ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ
ศาลอาญายกฟ้อง คดี "รัชฎา" อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ฟ้อง "ชัยวัฒน์" กรณีล่อซื้อ รับเงินส่วย 98,000 บาท ชี้จำเลยแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีเหตุจูงใจที่จะกลั่นแกล้งโจทก์เพื่อให้ได้รับโทษ



เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (19 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.824/2566 ที่นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ เป็นจำเลยในความผิดฐาน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับโทษ

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อเดือนเม.ย.2564 จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์ได้กระทำผิดต่อตำแหน่งเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองโดยไม่ชอบ และกล่าวหาโจทก์มีนโยบายก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยโจทก์มีคำสั่งโยกย้าย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องวิ่งเต้นที่สำนักงานอธิบดีรายละประมาณ 200,000-300,000 บาท หากผู้ใดไม่วิ่งเต้นก็จะถูกโยกย้ายทำให้เดือดร้อน เมื่อเป็นเจ้าหน้าที่หัวหน้าหน่วยภาคสนามจะต้องจ่ายเงินเป็นรายเดือนต่อเดือนให้กับโจทก์ ทำให้พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2565 จำเลยยังได้วางแผนเข้ามาขอพบโจทก์แล้วกลั่นแกล้งโจทก์ โดยจำเลยแอบซุกซ่อนติดกล้องซึ่งสามารถบันทึกภาพและเสียง เข้าพบโจทก์ ขณะเดียวกันจำเลยได้นำซองกระดาษสีขาวทราบภายหลังว่าคือซองบรรจุเงิน จำนวน 98,000 บาท ออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นจำเลยก็ออกจากห้องโจทก์ไป ผ่านไปไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้ามาในห้องโดยไม่มีหมายค้น และอ้างว่าเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าและค้นพบซองบรรจุเงิน 98,000 บาท ซึ่งจำเลยวางทิ้งไว้ ทำให้โจทก์เกิดความเสียหาย และเป็นการกลั่นแกล้ง ให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญา

คดีนี้ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา และสืบพยานทั้งสองฝ่ายจนแล้วเสร็จ

ช่วงเช้าวันนี้ นายชัยวัฒน์ จำเลย พร้อมทนายความ เดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วนโจทก์มีทนายความมาฟังแทน

ก่อนเข้าคำพิพากษา นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า คดีนี้มีการฟ้องศาลอาญาทุจริตไปแล้ว พร้อมกับตำรวจ ปปป. และเจ้าหน้าที่ ปปช. ซึางเคสนั้นศาลยกคำร้อง หลังจากนั้น ฝ่ายโจทก์ก็มาฟ้องส่วนตัวผมในคดีอาญา หาว่าผมกลั่นแกล้งสร้างข้อมูลเท็จ

ซึ่ง นายชัยวัฒน์ ก็ยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในฐานะผู้บังคับบัญชาด้วยการต้องแบกรับความอัดอั้นใจของเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่เค้าถูกรังแก และเหตุการณ์ทั้งหมดก็ปรากฎไปตามที่ออกสื่อมาก่อนหน้านี้

เมื่อถามว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ นายชัยวัฒน์บอกว่า มันไม่มีใครสร้างเรื่อง สร้างพล็อตได้ขนาดนี้ ถ้าตัวไม่ได้กระทำความผิดชัดเจน เพราะหัวหน้าหน่วยงาน ลูกน้องถูกรังแกมาตลอด บางคนต้องส่งรายเดือน บางคนถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม และการรังแกแบบนี้ไม่ใช่สังคมระบบราชการ แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ว่าจะระบบการเมืองแบบไหน หรือว่าต้องใช้ทุน ซึ่งนายชัยวัฒน์ยังบอกอีกว่า ไม่เป็นไรเมื่อเค้าฟ้องผมเราจะใช้กฎหมาย และต่อสู้ด้วยระเบียบข้อกฎหมาย และหลักฐานที่มีผมได้ยื่นต่อศาลเรียบร้อยแล้ว

ส่วนคดีเรียกรับสินบน ทางป.ป.ช. ส่งฟ้องไปแล้วให้อัยการซึ่งในระหว่างอัยการสูงสุดทำงานอยู่ก่อนจะยื่นต่อศาล

ซึ่งหากวันนี้มีคำพิพากษา ว่าตนเป็นผู้ผิด ตนได้ให้ทนายเตรียมหลักทรัพย์จำนวนหนึ่งเพื่อต่อสู้คดี ยืนยันความบริสุทธิ์

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่าแม้จะมีพยานเบิกความสอดคล้องกันเรื่องโจทก์ไม่ได้เรียกรับสินบน แต่จำเลยได้รับทราบจากผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้จำเลยเชื่อว่ามีการกระทำความผิดเรื่องการเรียกรับสินบนเกิดขึ้นจึงได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ปปป. และ ป.ป.ช. โดยการกระทำดังกล่าว ของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จกล่าวหาให้โจทก์รับโทษ แม้ ป.ป.ช. จะชี้มูลความผิดต่อโจทก์และอัยการสูงสุดจะชี้ข้อไม่สมบูรณ์กลับก็ตาม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จหรือให้ข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน อีกทั้งการเรียกรับสินบนต้องทำโดยปกปิดยากที่จะหาพยานหลักฐานในการตรวจสอบ แม้จำเลยจะเคยมีปัญหาเรื่องการตั้งกรรมการสอบสวนกับโจทก์ แต่จำเลยได้ไปแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้ว จำเลยจึงไม่มีมูลเหตุจูงใจกล่าวหาโจทก์ให้รับโทษ

ส่วนเรื่องการทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ แม้ว่า จำเลยจะมีการรวบรวมเงินมาจริง แต่ก็เป็นการวางแผนจับกุมส่งมอบเงิน รับฟังได้ว่ามีเจตนาทำให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ ไม่ได้มุ่งหมายถึงโจทก์จึงไม่เข้าข่ายการหมิ่นประมาทโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายชัยวัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีสีหน้ายิ้มแย้ม ว่า ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานที่ฝ่ายตนมี ซึ่งมีลำดับขั้นตอน กรณี โจทก์ กล่าวหาว่าตนสร้างหลักฐานเท็จ สร้างพยานเท็จ ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่มีมูลความจริงให้ศาลรับฟังได้ เพราะเรื่องราวขั้นตอนทั้งหมดมีการรับเงินจริง

สำหรับคำพิพากษาของศาลวันนี้ ทำให้ฝ่ายตนในฐานะจำเลย ได้หลักฐานเพิ่มเติมขึ้น เนื่องจากสิ่งที่โจทก์นำมาเบิกความต่อศาลเป็นประโยชน์กับฝ่ายตน พร้อมยืนยันจะไม่ฟ้องกลับนายรัชฏา แต่จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาเพื่อนำไปยื่นต่อ ป.ป.ช. เพิ่มเติม

นายชัยวัฒน์ ยังระบุว่าขณะนี้ยังมีคดีที่ตนฟ้องร้องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ อยู่ในศาลอีกหลายคดี ยืนยันจะต่อสู้ทุกคดี เนื่องจากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต

ที่มา : MgrOnline