ตาพร่ามัว...อย่าชะล่าใจ วันเบาหวานโลก 2567 หมอตาเตือนคนวัยทำงานอายุ 30+ ระวังเบาหวานขึ้นจอตา ภัยเงียบที่คุกคามสายตาจากโรคเบาหวาน
เผยแพร่ : 19 พ.ย. 2567 08:05:58
• ผู้ป่วยเบาหวานไทย 24-31% มีภาวะแทรกซ้อนทางตา เสี่ยงตาบอด
• คนวัยทำงานอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรระวังเป็นพิเศษ
• การตรวจและรักษาเร็วช่วยลดความเสี่ยงตาบอด
ตาพร่ามัว...อย่าชะล่าใจ วันเบาหวานโลก 2567 หมอตาเตือนคนวัยทำงานอายุ 30+ ระวังเบาหวานขึ้นจอตา ภัยเงียบที่คุกคามสายตาจากโรคเบาหวาน พบ 24-31% ของผู้ป่วยเบาหวานในไทยมีภาวะแทรกซ้อนทางตา เสี่ยงตาบอดถาวรโดยไม่รู้ตัว หมอชี้ตรวจเร็ว รักษาเร็ว ชะลอการสูญเสียการมองเห็นได้
เนื่องในวันเบาหวานโลก ปี 2567 จักษุแพทย์เตือนคนไทยวัยทำงานหมั่นตรวจเช็คสุขภาพตาเป็นประจำ หลายคนมักมองข้ามสัญญาณเตือนเล็กๆ น้อยๆ ของปัญหาสุขภาพตา เพราะคิดว่าอายุยังน้อย การไม่ดูแลสุขภาพโดยเฉพาะการรับประทานอาหารโดยไม่ควบคุมและดูแลเรื่องระดับน้ำตาล เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคเบาหวาน และมีโอกาสพัฒนาไปสู่ "ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา" เสี่ยงตาบอดถาวรโดยไม่รู้ตัว
ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Macular Edema หรือ DME) เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง ทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในชั้นจอประสาทตามีความผิดปกติ ส่งผลให้จุดรับภาพจอตาบวม โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ จากสถิติพบว่า ปัจจุบันในประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนคนต่อปี และปัจจุบันมีคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่เป็นโรคเบาหวานถึง 6.9 ล้านคน โดยคนไทยอายุ 30 - 60 ปี มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานถึง 12% ที่น่าวิตกกว่านั้นคือ โรคเบาหวานในทุกอายุมีโอกาสพัฒนาเป็นภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา (DME) ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วยเบาหวาน โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มักไม่รู้ตัวว่ามีภาวะดังกล่าว เนื่องจากอาการมักไม่แสดงชัดเจนในช่วงแรก
ด้วยเหตุนี้ การตรวจคัดกรองและการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นโรค DME อีกทั้งยังช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ นายแพทย์ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ จักษุแพทย์ด้านจอตาและม่านตาอักเสบ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า “สถานการณ์ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาในประเทศไทยกำลังน่าเป็นห่วง จากการศึกษาพบว่า 1 ใน 4 ของผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันและอาจเกิดกับตาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โดยที่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดบริเวณดวงตา และหากสังเกตุจากภายนอกก็อาจไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของดวงตา ด้วยเหตุนี้ โรคทางสายตาจึงถือเป็นภัยเงียบ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าใจว่าการมองเห็นไม่ชัดเป็นผลจากค่าสายตาที่เปลี่ยนไป"
กรณีของ นางสาวอัจฉรา เซ่งฮะ นักธุรกิจ วัย 51 ปี เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง "ดิฉันเป็นอดีตพนักงานธนาคาร ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาการเงินและทำธุรกิจของตัวเอง สมัยก่อนไม่เห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย และใช้ชีวิตไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าไหร่ เพราะคิดว่าอายุน้อยคงไม่เป็นไร ใช้ชีวิตเต็มที่สะสมมานานกว่า 20 ปี จนกระทั่งตรวจเจอว่า เป็นเบาหวานมามากกว่า 3 ปี แต่ไม่เคยคิดว่าจะส่งผลกระทบกับดวงตา ต่อมาเริ่มมีอาการมีเส้นเหมือนใยแมงมุมเกิดขึ้นที่ตา พอไปพบหมอถึงรู้ว่าตามีปัญหาเกิดจากภาวะเบาหวานระยะที่สาม หากเกินขั้นนี้ไป คือตาบอดค่ะ"
การรักษาภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาในประเทศไทยมีวิวัฒนาการดีขึ้นจากเมื่อก่อนนพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ อธิบายว่า "เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทางการรักษาหลักของโรคทางจอประสาทตา รวมถึงภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาจะเป็นการใช้เลเซอร์ ซึ่งช่วยชะลอโรคได้ แต่ไม่ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นมาก ต่อมามีการพัฒนาเป็นยาฉีดเข้าน้ำวุ้นตาที่ยับยั้ง VEGF (Anti-VEGF) ช่วยลดการงอกของเส้นเลือดที่จอประสาทตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้น แต่ต้องฉีดบ่อยทุก 1-2 เดือน ซึ่งสร้างภาระให้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกลโรงพยาบาลหรือต่างจังหวัด ที่ผู้ดูแลต้องลางานพาผู้ป่วยมาโรงพยาบาลบ่อยๆ ปัจจุบัน ยาฉีดเข้าไปในน้ำวุ้นลูกตามีการพัฒนามากขึ้น มีนวัตกรรมใหม่ที่ยับยั้งสองกลไกของการเกิดโรค คือ ยับยั้งทั้ง VEGF และ Ang-2 (Anti Ang-2/VEGF) ช่วยทั้งลดการงอกและการรั่วของเส้นเลือด ลดการอักเสบ และเพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือด ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น จากงานวิจัย พบว่าประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยฉีดยาที่ยับยั้งสองกลไก (Anti Ang-2/VEGF) เพียงหนึ่งครั้งใน 3 เดือน และประมาณร้อยละ 60 ฉีดเพียงหนึ่งครั้งใน 4 เดือน คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยจึงก็ดีขึ้นกว่าเดิม และจากการวิจัยทางคลินิก ในผู้ป่วยกว่า 3,200 ราย และการรักษาจริงกว่า 4,000,000 เข็มทั่วโลก ไม่พบผลข้างเคียงที่แตกต่างจากยาเดิม"
จากสถิติพบว่า ในผู้ป่วยที่มีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา หากไม่ได้รับการรักษา 20-30% ของผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็น ดังนั้น การวินิจฉัยที่เร็วและเริ่มการรักษาทันทีจึงเป็นสิ่งสำคัญ นพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ กล่าวเสริม
"โชคดีที่ดิฉันได้รับการรักษาทันเวลา ภายหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาฉีดที่ยับยั้งสองกลไก (Anti Ang-2/VEGF) ควบคู่กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้การมองเห็นของดิฉันมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ปัจจุบันแพทย์ระบุว่า สภาวะการมองเห็นของดิฉันกลับสู่ภาวะปกติแล้ว เพียงต้องเข้ารับการตรวจติดตามผลทุก 3 เดือนเท่านั้น" คุณอัจฉรา กล่าวเพิ่มเติม "อยากฝากถึงคนไทยทุกคนให้ดูแลสุขภาพตั้งแต่เริ่มต้นไม่ว่าจะเรื่องของอาหารการกินที่ดีต่อสุขภาพและถูกสุขลักษณะ พร้อมกับการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย และไม่ประมาทกับชีวิต เพราะอาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย"
"ผู้ที่มีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ ควรปรับพฤติกรรมและควบคุมโรคประจำตัวให้ดี โดยเฉพาะการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม, ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, งดการสูบบุหรี่ และควรต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่องตามการนัดของแพทย์ นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรหมั่นตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อการวินิจฉัยที่เร็วและเริ่มการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดการสูญเสียการมองเห็น เพราะการมองเห็นที่ชัดเจนเป็นส่วนสำคัญยิ่งกับคุณภาพชีวิต” นพ. ธนาพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ดี หากทราบว่าเป็นโรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา รวมถึงภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา มีการพัฒนาการรักษาด้วยนวัตกรรมใหม่ที่ยับยั้งสองกลไกของการเกิดโรค ช่วยลดภาระให้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลที่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อยๆทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแลดีขึ้นกว่าเดิม ผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรรับคำปรึกษาจากจักษุแพทย์ เพื่อเลี่ยงอาการรุนแรงของโรคซึ่งสามารถนำไปสู่การตาบอดถาวรโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้โรช ไทยแลนด์ ขอเชิญชวนให้คนไทยทุกคนดูแลสุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
ที่มา : MgrOnline