ปตท.เร่งสร้างความเข้มแข็งภายในองค์กร ดันEBITDAเพิ่มอีก 3หมื่นล้านในปี70 รับมือศก.โลกผันผวนเน้นลงทุนต่ำกำไรงาม
เผยแพร่ : 24 ก.พ. 2568 12:05:17
• ภูมิรัฐศาสตร์ตึงเครียด: สร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
• ราคาพลังงานผันผวน: เพิ่มต้นทุนการผลิต
• อัตราดอกเบี้ยสูง: เพิ่มต้นทุนทางการเงิน และลดการลงทุน
• กำลังซื้อในประเทศลดลง: กระทบยอดขายและรายได้
• สินเชื่อชะลอตัว: เข้าถึงเงินทุนได้ยากขึ้น
• สินค้าจีนราคาถูก (ดัมพ์): สร้างการแข่งขันที่รุนแรง

ในปี2567 ธุรกิจต้องเผชิญความท้าทายในระดับโลกและภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ราคาพลังงานผันผวน อัตราดอกเบี้ยสูง กำลังซื้อในประเทศที่หดหาย สถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อ สินค้าจีนดัมป์ตลาด ส่งผลต่อประกอบการปี2567 ปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
ไม่เว้นแม้แต่บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของไทยบมจ.ปตท. และบริษัท Flagship ในเครือฯ ที่ส่วนใหญ่มีผลประกอบการปี2567 ปรับลดลง เนื่องจากรายได้จากการขายอิงกับราคาตลาดโลกโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่อยู่ในวัฏจักรขาลงมาหลายปี มีเพียงบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และบมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เท่านั้นที่มีกำไรสุทธิในปี 2567 เติบโตขึ้นอยู่ที่ 78,824 ล้านบาท และ4,062ล้านบาทตามลำดับ สูงกว่าปีก่อน 2.76% และ 10% ตามลำดับ
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2568 กลุ่มปตท.ยังคงเผชิญความท้าทายรอบด้านทั้งปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าของทรัมป์ 2.0 ทำให้สงครามการค้ายิ่งทวีความรุนแรง รวมถึงนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเสรีก๊าซฯ ระบบ Single Pool รวมถึงการปรับลดค่าไฟฟ้าล้วนแต่เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของปตท. ในฐานะเป็นบริษัทพลังงานชาติที่มีภารกิจสำคัญดูแลความมั่นคงทางพลังงานของประเทศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ดำเนินธุรกิจกลยุทธ์ใหม่ที่มุ่งเน้นในธุรกิจหลัก Hydrocarbon ที่ถนัดและเชี่ยวชาญ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และสร้างการเติบโต ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และทบทวนธุรกิจ Non-Hydrocarbon เน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องปตท.ถือว่ามาถูกทาง เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางธุรกิจเคยดีในอดีตอาจจะไม่ดีในอนาคต ทำให้ปีที่ผ่านมา กลุ่มปตท.ดำเนินการRevisit การลงทุนทั้งหมด หากพบว่าธุรกิจใดขาดทุนติดต่อกัน หรือธุรกิจมีความน่าสนใจลดน้อยลงในอีก3-4ปีข้างหน้า ก็จะถอยการลงทุน ช่วยลดการขาดทุนในอนาคต ดังนั้นปี2567 จึงเห็นการปิดตัวลงอย่างร้านเท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) การถอนหุ้นร้านอาหารญี่ปุ่น ‘โคเอ็น’ และขายหุ้นFlash ของบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน)หรือ OR รวมทั้งการยุติการลงทุนในบริษัทVencorex และบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC)ของ บริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) (PTTGC) ส่วนธุรกิจ Logistics ปตท.จะดำเนินธุรกิจท่อขนส่งก๊าซฯ คลัง และเทอร์มินิล รวมถึงท่าเรือมาบตาพุด เฟส3 และท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โดยยกเลิกการขนส่งทางราง เป็นต้น
ส่วนธุรกิจที่เป็นเทรนด์โลก หากปตท.ไม่มีถนัดและเชี่ยวชาญเพียงพอ ก็พร้อมจะลดบทบาทลง และเปิดโอกาสให้พันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมถือหุ้น อาทิ ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต หรือ Life science ที่อยู่ระหว่างการหาพาร์ทเนอร์ร่วมทุนที่มีความชำนาญและอยู่ในวงการธุรกิจนี้เข้ามาถือหุ้นบริษัท อินโนบิก(เอเซีย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแกนนำใน3 ธุรกิจหลักทั้ง ธุรกิจยา ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ ธุรกิจอุปกรณ์ทางการแพทย์ แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่ดี แต่ต้องสามารถดำเนินธุรกิจได้ด้วยตัวเอง self-funding ได้เอง ลดการพึ่งพาเงินทุนจากปตท. เบื้องต้นการหาพาร์เนอร์น่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้
สำหรับโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่ร่วมทุนกับ ฟ็อกซ์คอนน์ กรุ๊ป (Foxconn) ตั้งบริษัทร่วมทุน "ฮอริษอน พลัส" ล่าสุด ปตท.ได้ลดการถือหุ้นลงเหลือ 40% เปิดทางให้พาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญกว่าอย่างFoxconn ถือหุ้นใหญ่60% เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจต่อไป โดยปตท.สนใจธุรกิจอีวี ชาร์จเจอร์ โดยร่วมมือกับ OR ที่มีความได้เปรียบด้าน Ecosystem มีสถานี PTT Station มากกว่า 2 พันแห่งกระจายทั่วประเทศรองรับการขยายสถานีชาร์จอีวี
ทั้งนี้ โครงการผลิตรถอีวี ทางฮอริษอน พลัสได้จัดซื้อที่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับการลงทุนแล้วก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ได้มีการสั่งซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆในการผลิตรถอีวี เนื่องจากต้องการหาลูกค้าค่ายรถยนต์ที่ว่าจ้างผลิตก่อน แต่เมื่อตลาดมีการแข่งขันตัดราคาที่รุนแรง จึงได้ตัดสินใจชะลอการลงทุนไปก่อน ถือว่าโชคดีที่ปตท.ยังไม่ได้ลงทุนมากไปกว่านี้

ปตท.มีกระแสเงินสด 4.5แสนล.
ดร.คงกระพัน กล่าวว่า ปตท.ระดมสมองพิจารณาอย่างรอบด้านในการปรับกลยุทธ์ใหม่ในปี2567 หันกลับมาเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon และทบทวน Non-Hydrocarbon ให้ความสำคัญ มีการ Synergyในกลุ่ม ปตท. รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริหารต้นทุน ด้วยการทำ Operational Excellence ทั้งกลุ่ม ปตท. นำ digital มาใช้ ส่งผลให้ในปี2567 ปตท.มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดในกลุ่มปตท.ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นของปตท.เอง 1 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นบริษัทในเครือฯ
ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการปตท.ฯมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 67%ของกำไรสุทธิ ถือเป็นการการจ่ายปันผลที่สูงที่สุด โดยเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 6.6% ซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรกไปแล้วที่อัตราหุ้นละ 0.80 บาท โดยคงเหลือจ่ายเงินปันผลครึ่งหลังปี2567ในอัตราหุ้นละ1.30บาท
ผลการดำเนินงานในปี 2567 ธุรกิจ Hydrocarbon and Power เป็นธุรกิจหลักที่สร้างผลตอบแทนให้กับ ปตท. ประกอบด้วย ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ผ่านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) โดย ปตท.สผ. สามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จากอ่าวไทยสู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 10 ในโครงการสัมปทานกาชา หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ธุรกิจLNG มีปริมาณการนำเข้า LNG ทั้งสัญญาระยะยาว และสัญญาแบบ Spot รวม 9.6 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการพลังงานในประเทศ ซึ่งกำไรหลักจากธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นนี้มาชดเชยธุรกิจปิโตรเลียมจั้นปลายและผลกระทบจากนโยบายรัฐ
โดยธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายในปี2567 สร้างมูลค่าเพิ่ม 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากความร่วมมือภายในกลุ่ม โดยโรงกลั่นน้ำมันได้ปรับการผลิตน้ำมันดีเซลให้ได้มาตรฐานยูโร 5 เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ตามนโยบายของภาครัฐ ส่วนธุรกิจไฟฟ้า มีกำลังการผลิตเพิ่มเติม ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างรวมทั้งหมด 15 GW โดยหลักมาจากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในประเทศอินเดีย

สร้างความเข้มแข็งภายในองค์กร
ในปีนี้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุม ดังนั้นปตท.ต้องทำตัวเองให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ และขยายตลาด รวมทั้งหาพันธมิตรที่มีจุดแข็งมาเสริมความแกร่งให้กับธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย รวมทั้งธุรกิจที่เราเก่งน้อย การลงทุนใหม่ต้องรอบคอบและรักษากระแสเงินสด
สำหรับแผนสร้างความเข้มแข็งภายในองค์กรปตท. จะช่วยเพิ่มEBITDAให้มากขึ้นอีกอย่างน้อย 3หมื่นล้านบาทภายใน3ปีข้างหน้าแต่ใช้เงินลงทุนไม่มาก แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น การปรับโครงสร้างธุรกิจที่ไม่ใช่คาร์บอน (Non-Hydrocarbon ) ประกอบด้วย การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ในประเทศภายใต้โครงการ D1 (Domestic Products Mgmt) ที่ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ประมาณ 3,300 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปี (เพิ่มมูลค่าต่อยอดจากโครงการ P1 ที่มีการSynergyระหว่าง TOP,PTTGC,IRPC) , กำหนดแผนMissionX- Operational Excellence ตั้งเป้าหมายมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีหรือภายในปี 2570 เป็นส่วนของปตท. 10,000 ล้านบาท ที่เหลือ 20,000 ล้านบาทเป็นบริษัทในเครือทั้งหมดรวมกัน , และโครงการ Digital Transformation เพื่อช่วยปรับปรุงเพิ่มผลผลิตขึ้น 2,000 ล้านบาทต่อปีภายในปี 2569
ระยะกลาง เน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น(P&R) โดยปตท.อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรหลายรายที่มีความเข้มแข็งด้านวัตถุดิบ และตลาดเข้ามาร่วมทุน หนุนให้กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีความเข้มแข็งขึ้น โดยปตท.จะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจนี้

นอกจากนี้ ปตท.ยังตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางก๊าซธรรมชาติของภูมิภาค (LNG Hub) เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานในธุรกิจนี้ แลพร้อมจะขยายตลาดออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน หากมีดีมานด์เพิ่มก็มีศักยภาพที่จะขยายได้ ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซฯในประเทศยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) ใกล้เคียงปีที่แล้วประมาณ 10 ล้านตันแย่งเป็นก๊าซฯLNGตามสัญญาระยะยาว5.2ล้านตัน ที่เหลือเป็นการนำเข้าตลาดจร (SPOT)
ส่วนระยะยาว ปตท.จะลงทุนระบบการดักจับและกักเก็บคาร์บอน(CCS) และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ปตท.และประเทศไทยบรรลุเป้าหมายNet Zero ตามที่กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้ ปตท.สผ.อยู่ระหว่างทำโครงการCCSที่แหล่งอาทิตย์ โดยนำคาร์บอนที่แยกจากการผลิตก๊าซฯในหลุมปิโตรเลียมแล้วอัดกลับไปในหลุมปิโตรเลียมที่ว่าง(ไม่มีก๊าซ) ส่วนโครงการผลิตไฮโดรเจน ยังมีต้นทุนสูง ก็ศึกษาและรอจังหวะที่ต้นทุนการผลิตต่ำ คุ้มค่าการลงทุน

อัดงบลงทุนปีนี้ 2.5หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ปตท.ตั้งงบลงทุน 5ปีนี้ (ปี 2568-2572) จะใช้เงินลงทุน 54,463 ล้านบาท ในปีนี้ปตท.จะใช้งบลงทุนราว 25,627 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 โครงการท่อขนส่งก๊าซฯ บางปะกง-โรงไฟฟ้าพระนครใต้ และธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ดี งบลงทุน 5ปีนี้ของปตท.มีวงเงินน้อยกว่าในอดีต และไม่มีการตั้งงบลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างหาโอกาสลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเคยตั้งไว้สูงถึง 1 แสนล้านบาท ดังนั้น นับจากปีนี้เป็นต้นไป ปตท.ไม่เน้นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนสูง เพราะมีความเสี่ยงที่ตลาดจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตต้องเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด ใช้เงินลงทุนไม่มากแต่ให้ผลตอบแทนหรือกำไรที่สูง เพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตให้ปตท.
ดร.คงกระพัน ย้ำว่า “การลงทุนเยอะ ไม่ได้แปลว่าว่าดี การลงทุนต้องsmart เน้นลงทุนต่ำแต่ได้กำไรแน่ๆ”
มั่นใจปีนี้ผลการดำเนินงานโตกว่าปี67
แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทมั่นใจว่าเติบโตดีขึ้นกว่า 2567 ที่มีรายได้รวม3,090,453 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น อาทิ ปตท.สผ.ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียม และต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ แต่ราคาขายเฉลี่ยจะปรับลดลง ส่วนธุรกิจก๊าซฯจะมีการจองใช้ท่อส่งก๊าซฯและLNG Terminal สูงขึ้น โรงแยกก๊าซฯมีการใช้อัตราการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนก๊าซฯคาดว่าสูงขึ้นด้วย

ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลาย พบว่าแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมียังได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตล้นตลาด ทำให้สเปรดมาร์จินลดลง แต่การใช้อัตรากำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์เพิ่มสูงขึ้น ส่วนธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าปีนี้ ค่าการกลั่นจะปรับลดลงและการใช้อัตราการผลิตก็จะลดลงด้วย
ธุรกิจน้ำมัน ในปีนี้จะมีปริมาณการขายเพิ่มมากขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศ ธุรกิจLife Science ยังรักษาอัตราการเติบโตของปริมาณการขายยาในเอเชียและสหรัฐฯ สำหรับธุรกิจไฟฟ้า พบว่าปีนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะเติบโตขึ้น
ส่วนความคืบหน้าในการหาพันธมิตรใหม่มาร่วมถือหุ้นในบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ไม่ว่าจะเป็นบมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างชาติที่สนใจ มีความก้าวหน้าและทิศทางที่ดี ยังตอบไม่ได้ว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้หรือไม่ แต่ปตท.จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และยืนยันว่าไม่มีแผนที่จะควบรวมกิจการระหว่าง TOP IRPC และPTTGC อย่างแน่นอน
ที่มา : MgrOnline