ประธานมูลนิธิออมไทยเดินหน้าโครงการดนตรีพลังบวก ชี้เสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตให้เด็กเกิดจินตนาการ

เผยแพร่ : 24 ก.พ. 2568 09:37:16
X
• 3 ผู้บริหารสถานศึกษาพอใจผลลัพธ์ เห็นผลดีต่อนักเรียนทั้งด้านความสนใจการเรียนและพฤติกรรม
• นักเรียนมีส่วนร่วมและพัฒนาดีขึ้น
• ประธานมูลนิธิออมไทยชื่นชมโครงการ ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์และจินตนาการให้เด็ก
• มูลนิธิออมไทยร่วมมือกับมูลนิธิอา ในการดำเนินโครงการ

3 ผู้บริหารสถานศึกษาในอ.บ้านคา จ.ราชบุรี แฮปปี้โครงการดนตรีพลังบวก ระบุชัดทั้งเด็กและร.ร.ได้ประโยชน์คุ้มค่า นร.สนใจเรียน-พฤติกรรมดีขึ้น ประธานมูลนิธิออมไทยปลื้ม ชี้ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตให้เด็กมีจินตนาการ เผยจับมือมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ขยายผลไปอีกหลายจังหวัด ทั้งอุบลราชธานี เชียงรายและลำปาง

นายคมกฤช จูตะกานนท์ ประธานมูลนิธิออมไทย เป็นประธานเปิดงานโครงการดนตรีพลังบวก “วงเด็กภูมิดี จังหวัดราชบุรี ”เมื่อเร็วๆนี้ ที่โรงเรียนบ้านโป่งเจ็ด อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี จัดโดยมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิออมไทย และมูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีคณะครู-นักเรียนจากอีก 2 โรงร่วมด้วยคือ โรงเรียนอนุบาลบ้านคา และโรงเรียนน้ำตกห้วยสวนพลู บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เด็กๆต่างปรบมือไปกับจังหวะเพลงและร้องเพลงคลอไปด้วยอย่างมีความสุข

ภายในงานมีการบรรเลงเดี่ยวพิณ จากนายนิชคุณ สิงห์สถิต และบรรเลงเดี่ยวกลองชุดจากนายณัฐวุฒิ กีรติชัยพันธ์ ผู้พิการทางสติปัญญา การร้องเพลงของบรรดาครูจากมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข การขับร้องประสานเสียงของวงปล่อยแก่บ้านคา และการขับร้องเพลงประสานเสียงของวงเด็กภูมิดี จังหวัดราชบุรี 

นายคมกฤช กล่าวว่า การที่มูลนิธิออมไทยมาสนับสนุนโครงการดนตรีพลังบวก “เด็กภูมิดี จังหวัดราชบุรี ”เพราะเป็นโครงการที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตของเด็กให้มีจินตนาการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญกว่าความรู้ ขณะที่ปัญหาของเยาวชนไทยคือความคิดสร้างสรรค์ ความคิดริเริ่ม และการมีภาวะผู้นำ น้อยมาก ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้วล้วนฝึกเด็กให้ร้องเพลงประสานเสียง และให้เล่นดนตรีในวงซิมโฟนี ออร์เคสตรา เพื่อทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ 

“ในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรืออเมริกา ใช้ดนตรี-ศิลปะนำทั้งนั้น อย่างฟิลิปปินส์เด่นในเรื่องความสามารถทางดนตรี จะเห็นว่าในอุตสาหกรรมการให้บริการทั้งหมด ตามโรงแรม ตามเรือสำราญส่วนใหญ่เป็นชาวฟิลิปปินส์ ตอนนี้รายได้ส่วนใหญ่มาจากคนที่ทำงานต่างประเทศแล้วส่งเงินมาที่บ้านเกิด ผมอยากเห็นไทยเด็กไทยมีความสามารถทางดนตรี เพราะตอนนี้ความรู้หาได้ง่าย อนาคตความรู้ไม่จำเป็น เรามี AI มีอะไรที่สามารถเสิร์ชหาข้อมูลได้เยอะ แต่ดนตรีเป็นเรื่องของ Soft Skill เป็นเรื่องของความสามารถเฉพาะตน ซึ่งถ้าเสริมเข้าไปจะทำให้เยาวชนไทยแข็งแกร่ง เพิ่มความสามารถขีดความสามารถแข่งขันของประเทศได้”นายคมกฤช กล่าว

ประธานมูลนิธิออมไทย กล่าวด้วยว่า รู้สึกดีใจและภูมิใจที่มีส่วนร่วมในโครงการนี้ แม้เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้มีน้องคนหนึ่งเกเรมากไม่เรียนหนังสือ พอเริ่มมาร้องเพลง เริ่มปฏิบัติตัวดีขึ้น บุคลิกภาพดีขึ้น มีความตั้งใจเรียนดีขึ้น อันนี้คือผลที่เห็นได้อย่างชัดเจนช่วงที่เข้ามาส่งเสริมในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งในโครงการทำพร้อมกัน 3 โรง ทั้งที่โรงเรียนบ้านโป่งเจ็ด โรงเรียนอนุบาลบ้านคา และโรงเรียนน้ำตกห้วยสวนพลู ในอนาคตอำเภอบ้านคาจะเป็นศูนย์กลางแล้วดึงโรงเรียนต่างๆ เข้ามาร่วม ทำเป็นวงระดับอำเภอก่อน จากนั้นไประดับจังหวัด ระดับประเทศ และเข้าแข่งขันระหว่างประเทศ เพื่อให้เด็กมีแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งสามารถที่จะทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมได้ด้วย

“ตั้งเป้าไว้ว่าจะร่วมกับมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ทำโครงการดนตรีพลังบวก ที่จังหวัดอุบลราชธานี อีก 4 โรงเรียน จังหวัดลำปางและเชียงราย จังหวัดละ 2 โรงเรียน ซึ่งการขยายผลในอนาคตจะไปสื่อสารกับผู้ใหญ่ใจดีอีกหลายๆ บริษัทในประเทศให้เข้ามาร่วมสนับสนุน เพราะคนไทยมีความโอบอ้อมอารี มีเมตตา และมีหัวใจแห่งการแบ่งปัน”นายคมกฤช กล่าว

ด้านนางหทัยรัตน์ ขาวอ่อน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโป่งเจ็ด กล่าวว่า ด้วยความที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียนแค่ 93 คน สอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 จนถึง ป.6 ไม่มีครูเอกดนตรี การเข้าร่วมโครงการนี้ จึงเปิดโอกาสให้เด็กๆได้เรียนดนตรีอย่างจริงจัง และได้คัดเลือกเด็กเข้าโครงการ 20 คน ผลที่ได้คือเด็กร้องเพลงดีขึ้น มีความสนใจตั้งใจเรียน และมีทักษะในการอ่าน การร้องเพลง บางคนสามารถไปแข่งขันร้องเพลงในงานศิลปหัตถกรรมและชนะในระดับอำเภอไปถึงระดับจังหวัด ซึ่งเดิมเด็กคนนี้ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่พอได้ร่วมโครงการทำให้เด็กสามารถทำได้ดี โครงการดนตรีพลังบวกถือว่ามีประโยชน์ และอยากให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพราะสภาพที่เป็นอยู่เด็กชายขอบมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เรียนรู้เรื่องดนตรี

น.ส.ศิริพร วิริยะวิชาชาญ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลบ้านคา กล่าวว่า เด็กที่เข้าร่วมโครงการนี้มี 30 คนในชั้นป.3-5 จากทั้งโรงเรียน 230 คน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน มองเห็นถึงความน่ารักของเด็กเพิ่มมากขึ้น มีความเป็นระเบียบวินัย เด็กได้อาหารสมองที่ดี ถือเป็นวัคซีนชั้นดี ดนตรีสามารถให้นักเรียนกลับมาเรียนด้วยความที่เด็กเองอยากร้องเพลงได้ 

ด้านนางกาญจนวรรณ ทองศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนน้ำตกห้วยสวนพลู กล่าวว่า โรงเรียนมีเด็กเข้าร่วมโครงการดนตรีพลังบวก 21 คนในชั้นป.3-5 จากเด็กทั้งหมด 102 คน ผลที่เห็นชัด คือการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการอ่านออกเขียนได้ ช่วงก่อนบางคนอ่านหนังสือไม่ได้เลย เด็กพิเศษคนหนึ่ง ชอบร้องเพลง ชอบร้องคาราโอเกะ แต่อ่านหนังสือไม่ได้ ตอนนี้อ่านได้หมดแล้ว โครงการนี้เป็นแรงบันดาลใจ เพราะการอ่านตัวโน้ตคือการอ่านหนังสือ ทำให้อ่านคล่องขึ้น เด็กได้รับประโยชน์มาก โรงเรียนก็ได้เช่นกัน เมื่อเด็กมาเรียนร้องเพลง เริ่มมีกลุ่มไม่ไปเกเร จึงอยากให้มีโครงการแบบนี้ต่อไป

ในส่วนของนักเรียนนั้น จากการสอบถามทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชอบร้องเพลงประสานเสียงแบบนี้ อย่างน้องข้าวนึ่ง ด.ญ.นันท์ลภัส ภูวิศรนาศิษฐ์ ชั้นป.5 โรงเรียนบ้านโป่งเจ็ด บอกว่า ชอบ เพราะโรงเรียนไม่มีอะไรแบบนี้ อยากให้มีโครงการดังกล่าวต่อไปอีก ซึ่งดีหลายอย่าง อย่างแรกดีตรงที่ได้ไปดูงานโรงเรียนอื่นๆ ได้ไปหาความรู้ที่อื่นๆ เกิดความความสามัคคี แต่ก่อนนั้นไม่รู้จักตัวโน้ตเลย ตอนนี้รู้จักหมดแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงดีขึ้น พ่อแม่ก็ชมว่าร้องเพลงเพราะขึ้น ปกติชอบเพลงแนวหมอลำ หลังจากนี้อาจจะให้พ่อแม่พาเข้าคอร์สเรียนพิเศษ ส่วนเครื่องดนตรีชอบเปียโน






ที่มา : MgrOnline