“ดีปซีค”ฮีโร่ใหม่เศรษฐกิจ-เอไอจีน สนองแผนชูนวัตกรรมนำการเติบโต
เผยแพร่ : 24 ก.พ. 2568 08:09:19
• จีนคาดหวัง Deepfake จะช่วยผลักดันกลยุทธ์ "ก้าวกระโดด" ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
• การใช้ Deepfake เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

ปักกิ่งอ้าแขนรับและคาดหวังให้ดีปซีคช่วยกระตุ้นการยอมรับ AI รวมทั้งส่งเสริมกลยุทธ์ “ก้าวกระโดด” ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประกาศเมื่อปีที่แล้วในการเดิมพันกับปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ ที่อิงกับนวัตกรรมในอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น AI และเซมิคอนดักเตอร์
การที่ดีปซีคประกาศศักดาในวงการโมเดลภาษาขนาดใหญ่ในชั่วพริบตาช่วยให้จีนมีเครื่องมือทรงพลังในการกระตุ้นการยอมรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นฮีโร่ในอุตสาหกรรม AI ท้องถิ่น
โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจชื่อดังของวอลล์สตรีทคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะเริ่มแสดงให้เห็นผลลัพธ์แง่บวกจากการอ้าแขนรับโมเดล AI นี้ตั้งแต่ปีหน้า จากการที่ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยจะสร้างการเติบโตราว 0.20-0.30% ในปี 2030
นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์เสริมว่า การแจ้งเกิดของดีปซีคบ่งชี้ว่า การพัฒนาและการยอมรับ AI ในจีนรวดเร็วกว่าที่เคยคาดไว้
จากข้อมูลของ LSEG ความกระตือรือร้นต่อดีปซีคยังสะท้อนให้เห็นจาก MSCI China ซึ่งเป็นดัชนีหลักของตลาดหุ้นจีนที่ราคาทะยานขึ้นกว่า 21% จากระดับต่ำสุดในเดือนมกราคม
มอร์แกน สแตนเลย์ วาณิชธนกิจชั้นนำอีกแห่งของวอลล์สตรีท ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ความดังของสตาร์ทอัพแห่งนี้กระตุ้นให้มีการทบทวนการประเมิน “ความเหมาะสมในการลงทุน” หลังจากที่จีนได้รับความสนใจแบบจำกัดมานาน
เกเบรียล วิลโด กรรมการผู้จัดการเทเนโอ บอกว่า ดีปซีคแสดงให้เห็นว่า จีนอยู่ในสถานะได้เปรียบหรือเกือบได้เปรียบในการพัฒนา AI ที่ช่วยส่งเสริมศักดิ์ศรีของเศรษฐกิจและระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีของประเทศ และทำให้จีนดึงดูดความสนใจของนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้น
การเปิดตัว R-1 ของดีปซีคถือว่า มาถูกที่ถูกเวลามากในการฟื้นความเชื่อมั่นขณะที่จีนกำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจซึมเรื้อรัง ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่สงครามการค้ากับอเมริกาอาจปะทุขึ้นเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ R-1 เป็นโมเดลสำหรับการวิเคราะห์เชิงลึกและแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ที่มีต้นทุนการพัฒนาต่ำกว่าแต่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือสูงกว่าโมเดล AI ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก
นอกจากนั้นดีปซีคยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศ AI ของจีนที่ก่อนหน้านี้รัฐวิสาหกิจและเหล่าบิ๊กเทคต่างใช้ประโยชน์จากโครงสร้างสถาปัตยกรรมโอเพนซอร์สของตัวเอง ขณะที่โมเดลโอเพนซอร์สของดีปซีคเปิดโอกาสให้นักพัฒนาภายนอกนำไปใช้ฟรี รวมทั้งยังสามารถแก้ไขให้ตรงกับความต้องการของตนเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยมีต้นทุนการดำเนินงานลดลง
ปักกิ่งไฟเขียว
หวัง ฮุ่ยเหยา ผู้ก่อตั้งและประธานเซ็นเตอร์ ฟอร์ ไชน่า แอนด์ โกลบัลไลเซชัน ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในปักกิ่ง ชี้ว่า การที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต้อนรับเหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งดีปซีคอย่างอบอุ่นในการประชุมที่จัดเตรียมอย่างดีเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว และจัดให้นั่งหน้าสุดแถวเดียวกับบรรดาผู้นำจากบริษัทเอกชนใหญ่ที่สุดของประเทศ สะท้อนว่า ปักกิ่งกระตือรือร้นสนับสนุนสตาร์ทอัพแห่งนี้
หวังเสริมว่า เหตุผลคือปักกิ่งมองว่า ดีปซีคเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์คุณภาพใหม่ที่จะช่วยผลักดันจีนให้ก้าวหน้าต่อไป ซึ่งหมายถึงกลยุทธ์ “ก้าวกระโดด” ที่สีประกาศเมื่อปีที่แล้วในการเดิมพันกับปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ ที่อิงกับนวัตกรรมในอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น AI และเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่มาตรการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์และเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงสุดของอเมริกาขัดขวางความสามารถของจีนในการปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งสำคัญ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมากขึ้นริเริ่มให้เจ้าหน้าที่ใช้ดีปซีคเพื่อจัดการงานบางอย่างด้วยระบบอัตโนมัติ ผู้ดำเนินการระบบโทรคมนาคมของรัฐบาลยังนำโมเดล AI ล้ำสมัยมาใช้ตั้งแต่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
บริษัทAIจีนฉลองเอิกเกริก
บริษัทเอกชนของจีนแห่ใช้โมเดล AI ใหม่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานกันอย่างคึกคักเช่นเดียวกัน ทั้งผู้ผลิตรถ บริษัทบริการทางการเงิน ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน และผู้ดำเนินการระบบคลาวด์ที่รวมถึงอาลีบาบา หัวเว่ย และเทนเซ็นต์ ต่างรวมดีปซีคเข้าสู่ระบบการทำงาน
เรวา กูจอน ผู้อำนวยการโรเดียม กรุ๊ป บอกว่า ปักกิ่งกำลังใช้ดีปซีคที่กลายเป็นชื่อที่รู้จักกันกว้างขวางทั่วโลกภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ โชว์การสนับสนุนเทคโนโลยี รวมถึงความยืดหยุ่นด้านไฮเทคและนวัตกรรมของจีนแม้ถูกอเมริกาปิดกั้นก็ตาม
บรรดาบริษัทเทคโนโลยีจีนยังแสดงความมั่นใจว่า สตาร์ทอัพจีนจะทำคะแนนตีตื้นต่อไปในสนามแข่ง AI โลก โดยไม่สนกระแสความกังวลเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของดีปซีคในประเทศต่างๆ อาทิ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และบางรัฐของอเมริกาที่ถึงขั้นแบนหรืออนุญาตให้ใช้แบบจำกัด
ซุน ต้าเฉิง พนักงานของ Puersai Computer ที่เป็นบริษัทผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI กล่าวว่า ช่วง 2-3 ปีมานี้ จีนเผชิญข้อจำกัดจากอเมริกามาทุกรูปแบบ แต่ยังสามารถก้าวหน้าต่อไปได้อย่างง่ายดาย
เหลียน เฟิง พนักงานของ Tiangang AI Trading Platform ในเซี่ยงไฮ้ ขานรับว่า ก่อนดีปซีคแจ้งเกิด คนมากมายเชื่อว่า จีนไม่สามารถพัฒนาโมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพทัดเทียมอเมริกาได้ แต่ตอนนี้จีนแสดงให้เห็นแล้วว่า นอกจากคุมห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่แล้ว ยังสามารถสร้างซอฟต์แวร์ขั้นสูงได้
เหลียนยังมองว่า ความสำเร็จปัจจุบันของดีปซีคเทียบได้กับการเปิดตัวแอนดรอยด์มาท้าทายแอปเปิลในปี 2008 และกลายเป็นระบบปฏิบัติการบนมือถือที่ถูกกว่าและได้รับความนิยมมากกว่า
ผลกระทบตลาดแรงงาน
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนให้จีนควบคุมจังหวะการยอมรับ AI อย่างระมัดระวัง ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกแห่งนี้กำลังเผชิญปัญหาตลาดแรงงานซบเซาและอัตราว่างงานสูง
โกลด์แมน แซคส์ชี้ว่า ผลข้างเคียงในการทำลายการจ้างงานของ AI ขณะที่ประสิทธิภาพของแรงงานเพิ่มขึ้น อาจกระตุ้นภาวะเงินฝืดและทำให้เศรษฐกิจยิ่งอ่อนแอลง
อัตราว่างงานในหมู่หนุ่มสาวในจีนยังคงทรงอยู่เหนือระดับ 15% ขณะที่มีบัณฑิตใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานปีละกว่า 10 ล้านคน ช่วงหลายปีมานี้ยังมีการปลดพนักงานในภาคอสังหาริมทรัพย์ การเงิน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับอเมริกา ถือว่าตลาดแรงงานจีนมีความเสี่ยงจากระบบอัตโนมัติของ AI น้อยกว่า เนื่องจากมีจำนวนงานที่ใช้แรงมากกว่า กล่าวคือ ภาคเกษตรกรรม การผลิต และก่อสร้างว่าจ้างงาน 50% ของทั้งหมด เทียบกับแค่ 19% ในอเมริกา
ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจากระบบการทำงานอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI คือ การเงิน ประกันภัย และบริการนั้นคิดเป็นองค์ประกอบ 14% ของงานทั้งหมดในอเมริกา เทียบกับไม่ถึง 3% ในจีน
กระนั้น โกลด์แมน แซคส์สรุปว่า แม้การใช้ AI อาจเข้ามาแทนที่พนักงานมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ในที่สุดพนักงานที่ถูกปลดออกจะได้งานใหม่ในสาขาอื่นๆ ที่แรงงานมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และช่วยให้อัตราจ้างงานขยับขึ้นอีกครั้ง
ที่มา : MgrOnline