F&B พรีเมียม พลังดูดต่างชาติ จี้ปลดล็อกอุปสรรค
เผยแพร่ : 24 ก.พ. 2568 00:59:27

การตลาด– นักท่องเที่ยวคุณภาพสูงกำลังกลายเป็นพลังสำคัญที่เพิ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของภาคการท่องเที่ยว และส่งเสริมการปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากโอกาสนี้ ประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทยจำเป็นต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ให้คุณค่าและปัจจัยที่ผลักดันให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ตัดสินใจเลือกจุดหมายการเดินทาง
รายงานฉบับล่าสุดที่จัดทำภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Oxford Economics และสมาพันธ์สุราและไวน์นานาชาติแห่งเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific International Spirits & Wines Alliance) หรือ APISWA ระบุว่า ตัวเลือกอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ระดับพรีเมียมมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และช่วยเพิ่มการใช้จ่ายโดยรวมของนักท่องเที่ยวอีกด้วย

รายงานเรื่อง ‘Capturing High Quality Tourism for Southeast Asia: The Impact of Premium F&B Experiences on Destination Choice’ (การส่งเสริมการท่องเที่ยวคุณภาพสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: อิทธิพลของประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มแบบพรีเมียมที่มีต่อการเลือกจุดหมายปลายทาง) มีข้อมูลเชิงลึกดังนี้
• 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าประสบการณ์ด้าน F&B คือ ปัจจัยสำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทาง มากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม และการช้อปปิ้ง โดย 75% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้สูงให้ความสำคัญกับปัจจัยนี้
• นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเลือกจุดหมายปลายทางที่นำเสนอประสบการณ์ F&B คุณภาพสูง มากกว่าจุดหมายปลายทางที่มีตัวเลือกจำกัดถึง 2.5 เท่า
• นักท่องเที่ยวพร้อมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 250 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคนต่อวัน สำหรับ F&B ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมบริการที่ดีเยี่ยม โดยแนวโน้มนี้ครอบคลุมนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มรายได้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวตระหนักถึงคุณค่าที่เพิ่มขึ้นจากข้อเสนอแบบพรีเมียมที่มีคุณภาพสูง
• แนวคิดเรื่อง “ความคุ้มค่า” มีความสำคัญมากสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งกลุ่มรายได้สูงและรายได้น้อยกว่า โดย 78% ของนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงมองว่า “ความคุ้มค่า” เป็นปัจจัยที่ “สำคัญ” หรือ “สำคัญมาก”
• เมื่อพูดถึงประสบการณ์ F&B ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความปลอดภัย’เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด โดย 84% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ความปลอดภัย” เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทาง
การสำรวจครั้งนี้เป็นการเก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพจำนวน 1,800 คน ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งหมดมาจากประเทศที่เป็นตลาดสำคัญ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า รัฐบาลของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังมุ่งเน้นดึงดูดนักท่องเที่ยว “คุณภาพสูง” เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน
“ประเทศต่าง ๆ ต้องการเพิ่มยอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว มากกว่าเพิ่มยอดนักท่องเที่ยว” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 โดยตั้งเป้าต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39 ล้านคนในปีนี้ และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ถึง 3.5 ล้านล้านบาท โดยเน้นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ทั้งนี้ในปี 2567 ประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.67 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธนาคารโลกจะคาดการณ์ว่า ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยในปี 2568 จะสูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 แต่ก็เตือนว่านักท่องเที่ยวอาจใช้จ่ายน้อยลง โดยคาดว่าการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปจะลดลงประมาณ 20%
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-16 กุมภาพันธ์2568 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยแล้วทั้งสิ้น 5,589,051 คน สร้างรายได้ 273,238 ล้านบาท โดยประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาไทยมากที่สุด 5 อันดับคือ 1.จีน 916,340 คน, อันดับ 2 มาเลเซีย 714,661 คน, อันดับ 3 รัสเซีย 390,794 คน, อันดับ 4 เกาหลีใต้ 306,459 คน และ อันดับ 5 อินเดีย 275,465 คน
ส่วนทั้งปี 2568 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้ารวมนักท่องเที่ยวกรณีดีที่สุด ตามแผนวิสาหกิจของททท. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย อยู่ที่ 38 ล้านคน เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่เป้าหมายเชิงนโยบาย อยู่ที่ 40 ล้านคน
โดย “5อันดับแรก” ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มจะเดินทางเข้าไทยสูงสุดในปี2568 นี้ คือ 1. จีนคาดการณ์ไว้ที่จำนวนประมาณ 8 ล้านคน, 2.มาเลเซีย ประมาณ5.5 ล้านคน, 3. อินเดีย ประมาณ2.5 ล้านคน, 4. เกาหลีใต้ ประมาณ2 ล้านคน และ5. รัสเซีย ประมาณ 1.92 ล้าน
โดยนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ (ประเทศในเอเชีย) จะมีประมาณ 29 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 77.5% และจากตลาดระยะไกล (ตลาดยุโรป, อเมริกา) จำนวนประมาณ 11 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 22.5% สร้างรายได้อยู่ที่ราว 2 ล้านล้านบาท
ส่วนไทยเที่ยวไทยตั้งเป้าไว้ที่ 200-220 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2568 จะขับเคลื่อนรายได้จากการท่องเที่ยวตามเป้าหมายเชิงนโยบายอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทย 35.54 ล้านคน สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท

นายเรวัตร คงชาติ กรรมการสมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน กล่าวว่า ความต้องการประสบการณ์พรีเมียมในภาคการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยแนวโน้มนี้มาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวอายุน้อยและมีกำลังซื้อสูง ซึ่งมองหาตัวเลือกที่ผ่านการคัดเลือกแล้วและมีความเป็นมืออาชีพ
นายเรวัตร อธิบายต่อว่า ประเทศไทยอยู่ในฐานะที่ดีเยี่ยมและเหมาะสมที่จะตอบสนองเทรนด์ความต้องการ F&B ระดับพรีเมียม เพราะเป็นประเทศที่มีอาหารที่หลากหลายและโดดเด่น สามารถรังสรรค์เมนูใหม่ ๆ ที่ผสมผสานจุดเด่นของอาหารท้องถิ่นและอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

นางอัญชลี ภูมิศรีแก้ว จาก APISWA กล่าวเสริมว่า “มีโอกาสสำคัญและการต่อยอดทางธุรกิจที่รออยู่มากมายในวงการ F&B ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นและสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับการท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยสิ่งสำคัญ คือ การที่ผู้กำหนดนโยบายด้านการท่องเที่ยวต้องส่งเสริมปัจจัยแวดล้อมที่สนับสนุนต่อการเติบโตของภาคธุรกิจ F&B ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนแนวทางการประกอบการใหม่ ๆ และส่งเสริมการเติบโตการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก็ต้องสอดรับกับความคาดหวังของนักท่องเที่ยวด้วย”

“รัฐบาล ผู้นำอุตสาหกรรม และคณะกรรมการการท่องเที่ยวจำเป็นต้องร่วมมือกันในการดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมธุรกิจ F&B ในประเทศไทย สิ่งนี้จะทำให้มั่นใจได้ว่า ภาคธุรกิจ F&B ของประเทศไทยสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว” นายธิปไตร แสละวงศ์ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าว
นอกจากนี้ Oxford Economics และ APISWA แนะนำว่า เพื่อยกระดับภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ ผู้กำหนดนโยบายควรเสริมสร้างความพร้อมในการนำเสนอประสบการณ์ F&B ซึ่งหมายถึง การมีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ราคาสมเหตุสมผล และเข้าถึงได้ง่าย
ขณะเดียวกัน ต้องช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงตัวเลือก F&B ที่หลากหลายและบริการที่มีคุณภาพได้สะดวกมากขึ้น เช่น ขยายเวลาเปิดให้บริการของสถานประกอบการ และพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเพื่อการบริการที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ หนึ่งในประเด็นนโยบายสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณา คือ การจำกัดการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. การปรับปรุงข้อจำกัดนี้สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยจะช่วยให้ธุรกิจภาคบริการสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ จะต้องมีนโยบายและข้อบังคับที่สร้างบรรยากาศทางธุรกิจที่เอื้อต่อการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีราคาเหมาะสมแข่งขันได้ เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ลดภาษีสินค้าประเภทไวน์ เช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลฮ่องกงได้ปรับอัตราภาษีสำหรับสุราในบางช่วงราคา เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมสถานบันเทิงยามค่ำคืนและส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม นโยบายเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม F&B ให้เติบโตยิ่งขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้จากข้อมูล สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า
ภาคการท่องเที่ยวไทยแข่งขันได้?
โดยมีจุดแข็งคือ บริการมีคุณภาพสูง, นักท่องเที่ยวมีบริการให้เลือกหลากรูปแบบและหลายระดับ เป็นต้น
ส่วนจุดอ่อน ก็มีหลากหลาย เช่น กฎระเบียบสร้างต้นทุนและความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น, ธุรกิจบางกลุ่มได้เปรียบจากกฎระเบียบที่เอื้อ และรายย่อยติดหล่มกฎระเบียบ เข้าระบบไม่ได้ เป็นต้น
ขณะที่ ต้นทุนที่ไม่จำเป็นก็ยังมีอยู่สูง ดังเช่น ที่มาของต้นทุนที่ไม่จำเป็น คือ
ค่าธรรมเนียมและงานเตรียมเอกสาร, การต้องขออนุญาต/แจ้งข้อมูลซ้ำซ้อนหรือเกินจำเป็น (ตม.6, ใบ ร.ร.4 + ต.ม. 30), การ ให้ต่ออายุถี่/ขอเอกสารเหมือนขออนุญาตใหม่ (ใบอนุญาตนำเที่ยว 2 ปี)
ค่าเสียโอกาส คือ ต้องรอตรวจสอบหลังยื่นเรื่อง กว่าจะได้เริ่มธุรกิจ/ประกอบอาชีพ
เช่น รอตรวจร้านสปาก่อนเปิด รอใบรับรองขึ้นทะเบียนผู้นวด
โดยต้นทุนจากกฎระเบียบ ภาคการท่องเที่ยวมีภาระต้นทุนจากการอนุญาตทางราชการอย่างน้อย 26,088 ล้านบาท ในปี 2561
มูลค่าต้นทุนจากกฎระเบียบ เช่น ใบ ตม. 6 มูลค่า 1,762 ล้านบาท, นำเที่ยวและมัคคุเทศก์ มูลค่า 2,058 ล้านบาท, สปาและนวดแผนไทย มูลค่า 15,381 ล้านบาท, โรงแรมและที่พัก 6,888 ล้านบาท
สัดส่วนประเภทของต้นทุนจากกฎระเบียบ เช่น ใบ ตม. 6 มีต้นทุนตรง 100%, นำเที่ยวและมัคคุเทศก์ มีค่าเสียโอกาส 23% และต้นทุนตรง 77%, สปาและนวดแผนไทย มีค่าเสียโอกาส 48% และต้นทุนตรง 52% , โรงแรมและที่พัก มีต้นทุนค่าเสียโอกาส 49% และต้นทุนตรง 51% โดยรวมแล้วมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ ค่าเสียโอกาส 43% และต้นทุนตรง 57%
ตลอดจน ธุรกิจแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม เพราะกฎระเบียบไม่เหมาะสม กล่าวคือ
รายใหญ่ vs รายย่อย คือ รายใหญ่มีฝ่ายกฎหมายช่วยดำเนินการตามระเบียบ แต่รายย่อยมีต้นทุนศึกษาข้อมูล โอกาสพลาดสูง เสี่ยงถูกปรับ
ธุรกิจในระบบ vs นอกระบบ คือ ธุรกิจในระบบมีต้นทุนทำตามกฎหมาย แต่ได้สิทธิ
ลดหย่อนภาษี และนโยบายช่วยเหลือจากรัฐ ส่วนธุรกิจนอกระบบไม่เสียค่าใบอนุญาต แต่เสียสิทธิทางภาษี และอาจเสี่ยงต้องจ่ายส่วย
ธุรกิจรูปแบบเดิม vs รูปแบบใหม่ คือ ธุรกิจรูปแบบเดิมถูกกำกับเข้มงวด แต่ ธุรกิจรูปแบบใหม่คล่องตัวในสูญญากาศทางกฎระเบียบ
ข้อมูลระบุด้วยว่า ยกเครื่องภาคการท่องเที่ยวไทยให้แข่งขันได้ ด้วยการ ละเว้นและยกเลิกกฎระเบียบ ที่สร้างต้นทุนซ้้ำเติมผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
ตลอดจน การสร้างแนวร่วมรัฐ-เอกชนระดับชาติและพื้นที่ ร่วมกันปรับปรุงขั้นตอนทางราชการ ช่วยเหลือให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบได้เร็ว
โดยมี ข้อเสนอแรก : ละเว้น ยกเลิกหรือปรับปรุงกฎระเบียบ
มาตรการที่เริ่มภายใน 6 เดือน คือ ระงับ – การใช้กฎระเบียบบางเรื่อง (regulatory relief) 2 ปี เพื่อประเมินความเสี่ยง, การลด – เวลารอและขั้นตอนที่ไม่จำเป็น, การปรับปรุง - เงื่อนไขการอนุญาตให้รายย่อยเข้าระบบได้ เช่น ธุรกิจที่พักขนาดเล็ก
มาตรการ เร่งภายใน 1 ปี คือ เร่ง – ยกเลิกการอนุญาต ที่ได้ศึกษาไว้ในโครงการกิโยตินกฎระเบียบ, สร้างกฎระเบียบที่สอดรับกับธุรกิจใหม่ให้สามารถกำกับดูแลได้ตามความเสี่ยง

สำหรับ ตัวอย่างกฎระเบียบที่ต้องเร่งปฏิรูป คือ
1. สตม. ยกเลิกใบ ตม. 6 สำหรับคนต่างชาติ
2. กรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนระบบการขึ้นทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวจาก “ใบอนุญาต” เป็น “การจดแจ้ง” และ ยืดอายุใบรับรองขึ้นทะเบียนจาก 2 ปี เป็น 5 ปี
3. สบส. เร่งขั้นตอนออกใบรับรองผู้นวดสปา โดยลดเวลารอ 5 เดือน ให้เหลือ 7 วันหลังจบหลักสูตร
4. กรมการปกครองปรับกฎหมายโรงแรมใหม่ให้รายย่อยเข้าระบบ โดย เปิดให้เกสเฮาส์และที่พักแบบอื่นขึ้นทะเบียน และยกเลิกการรายงานข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็น เช่น ร่วมกันปรับปรุงขั้นตอนทางราชการ, ช่วยเหลือให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบได้เร็ว
โดยมี แนวร่วมขับเคลื่อนปฏิรูปกฎระเบียบของไทย คือ สำนักงาน ป.ย.ป., สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน , เจเอฟซีซีที, โครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ และสถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ


ที่มา : MgrOnline