แนะแนวทางแก้ปัญหาไฟป่าได้อย่างยั่งยืน ภาครัฐต้องเข้าถึงประชาชน
เผยแพร่ : 23 ก.พ. 2568 12:04:41
• ชื่นชมกระทรวงมหาดไทยที่รณรงค์ลงพื้นที่ ทำให้ปัญหาไฟป่าลดลง
• เสนอให้มีรางวัลสำหรับผู้ร่วมอนุรักษ์ป่า และลงโทษผู้ลักลอบเผาป่าอย่างเข้มงวด

กาญจนบุรี - “ส.ส.ศักดิ์ดา” แนะแนวทางแก้ปัญหาไฟป่าได้อย่างยั่งยืน ภาครัฐต้องเข้าถึงประชาชน พร้อมชื่นชม ก.มหาดไทย ร่วมเคาะประตูบ้านรณรงค์เข้าถึง ทำไฟป่าลดลง ย้ำควรมีรางวัลให้คนทำความดี ส่วนผู้ลักลอบเผาต้องบังคับใช้กฎหายให้เข็ดหลาบเพื่อส่วนรวม
วันนี้ (23 ก.พ.) นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกาญจนบุรี เขต 4 พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การเกิดไฟป่าที่เป็นต้นเหตุของฝุ่นละอองขาดเล็ก PM2.5 ว่า ไฟป่ามันไม่ได้เกิดจากลำไม้ไผ่สีกันหรือมันไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติตามที่หลายคนเข้าใจ แต่ไฟป่านั้นเกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่มีคนไปจุดโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
เมื่อจุดแล้วมันจึงเกิดการลุกลามไปไหม้เศษวัชพืชเช่น หญ้าและใบไม้หรือกิ่งไม้ที่แห้ง จากนั้นลุกลามไปไหม้ทั่วบริเวณ คนจุดแค่คนเดียวสามารถสร้างความเสียหายให้ผืนนับแสนนับล้าน โดยเฉพาะไฟป่าที่เกิดขึ้นในผืนป่าตะวันตกด้านจังหวัดกาญจนบุรี จะสังเกตเห็นว่ามันเริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกปี
อดีตเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การเกิดไฟป่ามีน้อยมากเพราะฝนตกตรงตามฤดูกาลทำให้ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ตามภูเขาชุ่มชื้นยากต่อการติดไฟ ถามว่าทำไมสถานการณ์การเกิดไฟป่าในยุคสมัยนี้จึงมีความรุนแรงมากขึ้น สาเหตุข้อแรกคือมันเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ฝนทิ้งช่วงนาน 5-6 เดือน ทำให้ใบไม้ใบหญ้าแห้งเร็วจึงกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
เมื่อมีคนลักลอบเข้าไปเผาไฟจึงลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผืนป่าได้รับความเสียหาบนับแสนนับล้านไร่ และยากต่อการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ซึ่งผืนป่าในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีติดกับผืนป่าจังหวัดตากและจังหวัดอุทัยธานี ส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง พื้นที่ไหนเป็นป่า 2 ชนิดนี้ จะเกิดสถานการณ์ไฟป่าขึ้นทุกปีเพราะไม้เต็งรังหรือแม้กระทั่งไม้ประดู่จะมียางเหียงยางพลวงขึ้นตามลำต้น และพื้นล่างเป็นหญ้าคาที่แห้ง เมื่อมีคนจุดไฟเผาจึงกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
ซึ่งแตกต่างจากป่าดงดิบ เนื่องจากป่าดงดิบส่วนใหญ่แทบจะไม่มีการผลัดใบ พื้นที่จะมีแต่ความชุ่มชื้นเมื่อถึงฤดูแล้งจึงยากต่อการติดไฟ ทุกวันนี้ประเทศไทยของเรามีป่าเต็งรัง ที่เต็มไปด้วยไม้ไผ่จำนวนมาก โดยเฉพาะผืนป่าด้านตะวันตก ในจังหวัดกาญจนบุรี ไล่ตั้งแต่เขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ยกเว้นบางพื้นที่ที่เป็นป่าดิบเขา หรือป่าดงดิบ พื้นที่เหล่านี้ไม้จะไม่ผลัดใบหรือถ้ามีก็น้อยมาก ความชื้นจึงสูง
ถามว่าปัจจุบันสถานการณ์การเกิดไฟป่ามีความรุนแรงมากขึ้นทุกปีสาเหตุเกิดจากอะไร และมีแนวทางการแก้ไขให้ได้อย่างยั่งยืนอย่างไรนั้น ตอบได้เลยว่าจุดเริ่มต้นเกิดจากความต้องการขยายพื้นที่ทำกินด้านการเกษตรของประชาชนที่อยู่โดยรอบแนวเขตป่า เมื่อถึงฤดูแล้งของทุกปีจะมีการลักลอบเผาเพื่อให้ง่ายต่อการปลูกพืชไร่ เช่นปลูกข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชเชิงเดี่ยว เมื่อเก็บผลิตผลทางการเกษตรแล้วเสร็จ เศษวัชพืชที่เหลือ เช่น ใบอ้อย หรือซังข้าวโพดยังเหลืออยู่ จึงเกิดการเผาเพื่อให้ง่ายต่อการนำเครื่องจักรมาปรับพื้นที่เพื่อปลูกใหม่จนกลายเป็นวัฒนธรรมของคนไทยไปแล้ว เมื่อมีพื้นที่เกษตรมากขึ้นป่าเริ่มเปลี่ยนชนิดจากป่าดิบ กลายมาเป็นป่าเบญจพรรณ หรือป่าเต็งรัง โอกาสที่จะเกิดไฟป่ามันจึงมีมากขึ้นตามไปด้วย การเผาจากฝีมือมนุษย์คือสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดไฟป่า
สำหรับการแก้ไขปัญหาไฟป่า ที่ผ่านมามีน้องๆ จากกรมป่าไม้ และกรมอุทยานฯ มาปรึกษาหลายครั้ง ซึ่งผมได้แนะนำน้องๆ ไปแบบตรงๆ ว่า โอกาสที่เราจะเข้าไปดับไฟป่าแทบจะมีไม่ถึง 5% เพราะว่าไฟมันจะไหม้ลุกลามขึ้นไปบนยอดภูเขาที่สูงชัน แค่เดินขึ้นไปตัวเปล่าก็เหนื่อยมากแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ต้องนำอุปกรณ์การดับไฟป่าขึ้นไปด้วยต้องมาเหนื่อยขึ้นเป็นสองเท่า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดับไฟป่าได้ 100 เปอร์เซ็นต์
และการเข้าไปดับไฟป่าของเจ้าหน้าที่นั้น ค่อนข้างเสี่ยงต่อชีวิตหากกระแสลมพัดโหมกลุ่มไฟจะทำให้เจ้าหน้าที่เกิดสำลักควันและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ที่ผ่านมาจะมีข่าวให้เห็นอยู่เป็นประจำทุกปี ว่าเจ้าหน้าที่เสียชีวิตหรือพิการจากการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในการดับไฟป่า เพราะฉะนั้นมีสิ่งเดียวที่ต้องทำคือ เมื่อเกิดไฟป่า เราจะต้องป้องกันด้วยการทำแนวป้องกันไฟเพื่อไม่ให้ลุกลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่โดยต้องเสียสละบางพื้นที่ที่กำลังเกิดไฟลุกลามที่ยากต่อการสกัดกั้นได้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกนายมีความปลอดภัยในชีวิต การที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้เจ้าหน้าที่ขึ้นไปดับไฟป่าที่กำลังเกิดขึ้นนั้น จึงถือว่าผู้ออกคำสั่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องไฟป่าเลย สิ่งที่ถูกต้องคือจะต้องสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำแนวกันไฟเพื่อไม่ให้ลุกลามไปไหม้เป็นบริเวณกว้างโดยต้องยอมให้ไฟไหม้จุดที่เจ้าหน้าที่เข้าไม่ถึงเพื่อเซฟชีวิตของเจ้าหน้าที่จึงจะถูกต้อง
แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นในแต่ละจังหวัดหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ป่ากลุ่มป่าที่ 12 รอบเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรีที่มองว่าจะรุนแรงเพิ่มขึ้นในห้วงเดือนเดียวกันของปีที่แล้วกับปีนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์ไม่ได้รุนแรงตามที่คาดการณ์เอาไว้ ซึ่งส่วนตัวแล้วต้องขอชื่นชมกระทรวงมหาดไทย ที่มีนโยบายสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงอำเภอ ลงพื้นที่พบปะแบบเคาะประตูบ้านเพื่อรณรงค์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนชนตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพจนประชาชนเข้าใจและพร้อมใจกันหยุดการเผา
ซึ่งที่ผ่านมาไฟป่าในผืนป่าตะวันตกมันเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีอยู่แล้วไม่ใช่เพิ่งจะมาเกิดในปีนี้ แต่ขณะนี้ประชาชนเริ่มเข้าใจถึงปัญหาฝุ่นละอองที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องโรคเรื้อรัง เช่น โรคผิวหนัง โรคมะเร็ง โรคปอด รวมถึงโรคระบบทางเดินระบบหายใจ เมื่อภาครัฐเข้าถึงประชาชนจึงหันมาใส่ใจเรื่องของสภาพอากาศ และรับรู้ว่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 นั้นเกิดจากสาเหตุอะไร
การแก้ไขปัญหาการเกิดไฟป่ามีอยู่ทางเดียวที่จะทำได้อย่างยั่งยืนตลอดไปคือ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับภาครัฐและผู้นำว่าจะเข้าถึงประชาชนได้มากน้อยเพียงใด หากคนในชุมชนเพียงแค่หนึ่งคนไม่เข้าใจแล้วลักลอบไปจุดไฟเผาสามารถทำให้ทุกคนในชุมชนนั้นๆ เดือดร้อนได้
จึงขอเสนอแนะไปยังภาครัฐว่า หากหมู่บ้านหรือชุมชนใดไม่มีสถานการณ์ไฟป่าเกิดขึ้นควรที่จะมอบรางวัลให้ แต่หากชุมชนใดมีไฟป่าเกิดขึ้นให้ติดตามนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีเพื่อให้เข็ดหลาบจากการกระทำ เพราะเมื่อคนไทยทำดีจะต้องมีรางวัลเพื่อสร้างกำลังใจให้เขา ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะทำดีไปเพื่ออะไร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านจะคิดเช่นนี้



ที่มา : MgrOnline