กระทุ้งรัฐ ! หนุน 10 จุดยืน “ยุติมลพิษจากพลาสติก”
เผยแพร่ : 19 ก.พ. 2568 23:43:32

เปิด 10 ข้อเรียกร้องภาคประชาสังคมต่อรัฐบาล แสดงจุดยืนอย่างเข้มแข็งโดยการสนับสนุน “ตั้งเป้าลดการผลิตพลาสติก” ในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก ช่วงต่อเวลา หรือที่เรียกว่า INC 5.2 ราวกลางปีนี้

กรีนพีซ ประเทศไทย (Greenpeace Thailand) มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) และ มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) จัดงานเสวนา “ไปกันต่อ INC-5.2: ยังไงดีสนธิสัญญาพลาสติกโลก” (เมื่อ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา) เพื่อนำเสนอข้อสรุป จุดยืนของประเทศไทย และข้อคิดเห็นจากการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกครั้งที่ 5 (INC-5) ณ เมืองปูซาน เกาหลีใต้ พร้อมด้วยบทบาทของประเทศไทยในอนาคตในเวทีเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกครั้งที่ 5.2 (INC-5.2) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นกลางปีนี้
นับตั้งแต่ปี 2565 ในการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติสมัยที่ 5 ช่วงที่ 2 (UNEA5.2) ที่ประเทศทั่วโลกกว่า 160 ประเทศ ได้รับรองข้อมติ “ยุติมลพิษจากพลาสติก: ด้วยมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ” เพื่อพัฒนามาตราการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อยุติมลพิษพลาสติก (สนธิสัญญาพลาสติกโลก) โดยมติดังกล่าวกำหนดกรอบเวลาการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลฯ (INC) ทั้งหมด 5 ครั้ง เพื่อจัดทำมาตรการให้แล้วเสร็จในปี 2567 โดยกำหนดจัดการประชุมครั้งสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี
อย่างไรก็ตาม ผลการเจรจาไม่บรรลุผล แม้ว่ามีประเทศกว่า 100 ประเทศร่วมลงชื่อสนับสนุนสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่มุ่งมั่นและสนับสนุน “การตั้งเป้าลดการผลิตพลาสติก” ซึ่งประเทศเหล่านี้ต่างจริงจังและร่วมยืนหยัดต่อเป้าหมายนี้ แต่ยังมีหลายประเทศปฏิเสธที่จะยอมรับประเด็นข้างต้น จึงได้มีการต่อเวลาการเจรจา จนเกิดการเจรจาขึ้นอีกครั้ง และจะเป็นครั้งสุดท้าย หรือที่เรียกว่า INC 5.2 ซึ่งจะจัดขึ้นในปี 2568 นี้


นางสาวพิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทยกล่าวว่า “จากการได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ใน INC5 เป็นที่น่าสังเกตได้ว่ามีตัวแทนบริษัทน้ำมันและปิโตรเคมีเข้าร่วมถึง 220 คน ซึ่งสูงสุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เป็นข้อกังวลว่าการเจรจาจะทำให้การลดใช้และผลิตพลาสติกจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและนำไปสู่การจัดทำมาตรการที่หันเหไปจากวัตถุประสงค์ตั้งต้น ที่ต้องการให้มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อยุติมลพิษพลาสติก ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลฯ (INC) รอบหน้าจึงมีความสำคัญและน่าจับตามองอย่างมาก”
นางสาวศลิษา ไตรพิพิธสิริวัฒน์ ผู้จัดการโครงการพลาสติก Environmental Justice Foundation กล่าวว่า “แม้จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่การขยายการเจรจาออกไปเป็นเรื่องที่ดีกว่าการรีบทำให้เสร็จแล้วโลกได้สนธิสัญญาที่แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้มา ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้จัดและประเทศสมาชิกต้องหารือว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ และต้องป้องกันให้ไม่เกิดขึ้นอีกในการเจรจาครั้งที่ 5.2 ยังมีอีกหลายข้อบทที่ต้องการเวลามากกว่า 7 วันในการเจรจา ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล เราต้องตีโจทย์ตรงนี้ให้แตก ไม่เช่นนั้นการเจรจาครั้งที่ 5.2 อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เราจะเสียเวลาไปอีก และโลกเราจะมีโอกาสอีกสักกี่ครั้งที่จะได้เข้าใกล้การแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกได้อย่างแท้จริงขนาดนี้”
ด้าน นายฐิติกร บุญทองใหม่ ผู้จัดการแผนงานของเสียและมลพิษอุตสาหกรรม มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า “ในตอนแรก การประชุม INC5 คาดหวังไว้ว่าอย่างน้อยจะต้องมีการคุยกันเรื่องประเด็นสารเคมีในพลาสติกอย่างจริงจัง และนำไปสู่ร่างสนธิสัญญาพลาสติกที่มีการควบคุมสารเคมีในพลาสติกอย่างเข้มข้น แต่สุดท้าย การประชุม INC5 ครั้งนี้ไม่สามารถหาข้อสรุป รวมทั้งมีความพยายามในการลดความจริงจังต่อมาตราที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีในพลาสติก และไม่สามารถเกิดร่างสนธิสัญญาพลาสติกได้ ต้องประชุมใน INC5.2 ในอนาคตอีกครั้ง”

10 ข้อเรียกร้องรัฐบาลไทย ควรแสดงจุดยืน
ภาคประชาสังคมยังคงเน้นย้ำข้อเรียกร้องเดิมที่ต้องการให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก โดยมีข้อเรียกร้อง 10 ประการ ดังนี้
1.ลดการผลิตพลาสติกให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนต่อการบริโภคและสิ่งแวดล้อม ยกเลิกการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา จัดการได้ยาก และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ได้
2.กำหนดให้มีการเลิกใช้สารเคมีอันตรายตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก พิจารณาการใช้สารเคมีทดแทนที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
3.กำหนดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลดการใช้พลาสติก การใช้ซ้ำ การเติม การซ่อมแซม ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้โดยมนุษย์ทุกคน
4.กำหนดให้มีการพัฒนากฎหมายและขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็น ขยายระบบใช้ซ้ำ การเติม และการซ่อมแซม รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถเข้าสู่กระบวนรีไซเคิลที่
คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ได้จริงภายในประเทศ ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติก และค่าความเสียหายของสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
5.กำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกรายงานข้อมูลสารเคมีในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการรายงานข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารเคมีและมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สู่สาธารณะ
6.กำหนดให้มีมาตรฐานสากลในการจัดการพลาสติกที่ใช้แล้ว ที่ให้ความสำคัญกับการลดพลาสติกแต่ต้นทาง การห้ามเผาขยะพลาสติก การกำหนดมาตรฐานการจัดการขยะที่เข้มงวด รวมไปถึงการรีไซเคิลและการผลิตพลังงาน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
7.ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ผิดทาง รวมไปถึงการรีไซเคิลสกปรก การขยายโรงไฟฟ้าขยะ และพลาสติกทางเลือกที่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น
8.ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายพลาสติกใช้แล้วข้ามพรมแดน และการส่งออกเทคโนโลยีที่ก่อมลพิษ อันเป็นการผลักภาระมลพิษไปยังประเทศกำลังพัฒนา
9.กำหนดให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติก
10.กำหนดให้มีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน รวมไปถึงชุมชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ผู้ปฏิบัติงานและแรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ที่มา : MgrOnline