OTT กับ IPTV ต่างกันอย่างไร? นักวิชาการไขข้อสงสัย พร้อมชี้ประเด็นข้อกฎหมาย Must Carry
เผยแพร่ : 19 ก.พ. 2568 12:15:07
• วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 มีการรายงานความแตกต่างระหว่างบริการ OTT และ IPTV
• OTT และ IPTV ต่างเป็นบริการสตรีมมิ่งผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มีความแตกต่างในด้านการเข้าถึง เทคโนโลยี และกฎหมาย
• OTT เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างกว่า (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างของทั้งสองบริการนั้นไม่มีในเนื้อหาที่ให้มา)

19 กุมภาพันธ์ 2568 – OTT (Over-the-Top) และ IPTV (Internet Protocol Television) เป็นบริการรับชมเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่ของการเข้าถึง เทคโนโลยี และข้อกำหนดด้านกฎหมาย OTT เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการใดก็ได้ โดยผู้ใช้บริการเพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น OTT ได้จากทั้ง App Store and Android App เช่น Netflix, Disney Plus หรือ True ID หรือใช้อินเตอร์เน็ตเข้าไปยังเวบไซต์ของผู้ให้บริการ OTT ขณะที่ IPTV เป็นบริการที่ต้องสมัครสมาชิกโดยต้องใช้อินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเฉพาะ พร้อมกล่องรับสัญญาณที่สามารถควบคุมคุณภาพสัญญาณได้ ประเด็นเกี่ยวกับแนวทางกำกับดูแล และเงื่อนไขด้าน Must Carry ของ กสทช. กำลังเป็นที่ถกเถียงในอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคม
OTT และ IPTV มีความแตกต่างกันอย่างไร? แตกต่างกันทั้งในแง่ของการให้บริการและการกำกับดูแล
นายสืบศักดิ์ สืบภักดี นักวิชาการด้านโทรคมนาคม กรรมการบริหารและเลขาธิการสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อธิบายว่า OTT เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้เข้าถึงเนื้อหาผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องใช้กล่องรับสัญญาณของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแต่ละราย ผู้ใช้สามารถใช้งานได้จากทุกเครือข่าย เช่น การรับชมวิดีโอผ่านแอปสตรีมมิ่งยอดนิยม หรือเว็บไซต์ที่เปิดให้รับชมเนื้อหาออนไลน์ ซึ่ง กสทช. ไม่มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ OTT เช่น YouTube, Netflix, Disney Plus หรือ True ID ต้องมาขอรับอนุญาต
ในขณะที่ IPTV เป็นบริการที่ต้องเข้าถึงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเฉพาะของผู้ให้บริการ (Close Network) ซึ่งมักมาพร้อมกับกล่องรับสัญญาณที่ช่วยควบคุมคุณภาพของบริการ ตัวอย่างเช่น บริการโทรทัศน์ผ่านกล่องที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบางรายจัดทำขึ้น ซึ่ง กสทช. ได้กำหนดให้ผู้ให้บริการ IPTV ในลักษณะดังกล่าวต้องมาขอรับใบอนุญาต
มีหลายคนยังเข้าใจผิดและสับสนว่าทำไม Must Carry ไม่ใช้กับ OTT
กสทช. กำหนดให้การเผยแพร่เนื้อหาทางโทรทัศน์ต้องดำเนินการผ่านโครงข่ายที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น เช่น โครงข่าย PayTV (เคเบิล ดาวเทียม IPTV) หากไม่มีใบอนุญาต อาจถือเป็นการให้บริการที่ผิดกฎหมาย. หมายความว่าหากธุรกิจเคเบิล ดาวเทียม IPTV ซึ่ง กสทช. มีหลักเกณฑ์กำหนดให้ต้องมาขอรับใบอนุญาตจาก กสทช. แล้ว แต่ฝ่าฝืนไม่มาขอรับใบอนุญาตนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ก็ยังจะไม่สามารถเผยแพร่ช่องฟรีทีวีได้ (ห้าม Must Carry) เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดกรณีเคเบิ้ลทีวีเถื่อนที่ไม่มาขอรับใบอนุญาต
อย่างไรก็ตาม กสทช. ไม่มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ OTT เช่น YouTube, Netflix, Disney Plus หรือ True ID ต้องมาขอรับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. เหมือนเช่น IPTV ดังนั้น ผู้ให้บริการ OTT จึงสามารถนำคอนเทนต์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงช่องฟรีทีวีมาเผยแพร่บนแพลตฟอร์มของตนได้โดยไม่ผิดกฎหมายใดๆ
นายสืบศักดิ์ ระบุว่า หากมีการตีความว่าช่องโทรทัศน์ภาคพื้นดินสามารถเผยแพร่เนื้อหาได้เฉพาะบนโครงข่ายที่ได้รับอนุญาต ซึ่งตีความรวมไปถึงทุกธุรกิจ แม้ กสทช. จะไม่มีการออกหลักเกณฑ์มากำกับควบคุมแล้ว อาจเป็นการจำกัดสิทธิของเจ้าของช่องในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อกระจายเนื้อหาสู่ผู้ชมและเป็นการจำกัดสิทธิของผู้บริโภคที่เลือกที่จะรับชมผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น การดูทีวีผ่านแอพบนมือถือ ที่ตอนนี้เป็นการรับชมที่แพร่หลายมากกว่าและสะดวกกับผู้ใช้บริการมากกว่า
ข้อถกเถียงเรื่องการกำกับดูแล
นายสืบศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า การให้บริการ OTT เป็นบริการที่เป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ และมีการให้บริการอย่างแพร่หลายมานานในทุกประเทศทั่วโลก นอกจากนั้น หลายประเทศได้ออกกฎหมายมาสนับสนุน OTT ที่เป็น Start up ของประเทศนั้นเพื่อให้สามารถเติบโตและพัฒนาคอนเทนต์ที่ตอบสนองและเป็นประโยชน์กับประเทศของตน
“ที่ผ่านมา กสทช. และที่ปรึกษาได้พิจารณาเรื่องนี้ และยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่าการกำกับดูแลควรดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” นายสืบศักดิ์ กล่าว
สรุป: การกำกับดูแลควรพิจารณาความแตกต่างของบริการ
OTT และ IPTV มีโครงสร้างการให้บริการที่แตกต่างกัน IPTV อยู่ภายใต้ข้อกำหนดด้านใบอนุญาต ขณะที่ OTT ยังคงเป็นบริการที่ไม่มีข้อกำหนดเฉพาะด้านการกำกับดูแล นักวิชาการเสนอว่าการกำกับดูแลควรต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและการเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมในอนาคต
ที่มา : MgrOnline