คิงส์เพาเวอร์ทุบ AOT จมดิน / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่ : 17 ก.พ. 2568 15:04:42
X
• ตลาดหลักทรัพย์ฯ กังวลต่อความผันผวนของราคาหุ้น
• ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งหนังสือถึง AOT เพื่อขอคำชี้แจงสาเหตุการร่วงลงของราคาหุ้น
• AOT ต้องชี้แจงสาเหตุเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

การทรุดตัวหนักของหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ทำให้ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั่งไม่ติด ต้องทำหนังสือถึง AOT ขอให้ชี้แจงสาเหตุที่หุ้นตกรุนแรง เพื่อให้นักลงทุนรับทราบ

ไม่บ่อยนักลงที่ตลาดหลักทรัพย์ จะออกหนังสือจี้ให้บริษัทจดทะเบียน ชี้แจงถึงราคาหุ้นที่ตกต่ำ เพราะส่วนใหญ่มีแต่ทำหนังสือสอบถามถึงราคาหุ้นที่ขึ้นอย่างร้อนแรงไร้เหตุผล

ส่วนหุ้น AOT ที่ถูกเขายอย่างหนัก เมื่อวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีความกังวล ผลกระทบจากการที่บริษัท คิงส์เพาเวอร์ จำกัด เจ้าของสัมปทานดิวตี้ฟรีแอร์พอร์ต ในสนามบินการท่าอากาศยาน ขาดสภาพคล่อง ขอเลื่อนการชำระหนี้ และมีแนวโน้มที่จะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนน้อยลง

ราคาหุ้น AOT ลงมาปิดที่ 47 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 5 ปี ทรุดหนักในวันเดียว 7.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 8,702.08 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดอันดับหนึ่งประจำวัน

AOT เป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์แทบทุกสำนัก เชียร์ให้ลงทุน โดยคาดว่า จะได้รับอานิสงส์ จากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกลับเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ผลประกอบการเติบโตขึ้น

แต่รายได้สำคัญส่วนหนึ่ง และทำให้บริษัทมีผลกำไรปีละกว่า 20,000 ล้านบาทในอดีต เกิดจากรายได้ส่วนแบ่งผลตอบแทนของ”คิงส์เพาเวอร์” ปีละประมาณ 25,000 ล้านบาท แต่หลังเกิดวิกฤตโควิด และนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เสียชีวิต ธุรกิจคิงส์พาวเวอร์จึงเริ่มมีปัญหา รายได้ตกต่ำ จนส่งผลตอบแทนส่วนแบ่งรายได้น้อยลง

นอกจากนั้นยังเกิดปัญหาสภาพคล่อง ทำให้มีหนี้ค้างชำระเพิ่มขึ้นหลายพันล้านบาท และ AOT ยังผ่อนปรนลดดอกเบี้ยที่ขอเลื่อนการชำระออกไปอีกด้วย

มีการประเมินว่า ถ้า ”คิงส์เพาเวอร์” ไปไม่รอด และต้องเปิดประมูลพื้นที่ดิวตี้ฟรีแอร์พอร์ตใหม่ ผลตอบแมนจากส่วนบ่างผลประโยชน์จากพื้นที่ดิวตี้ฟรีแอร์พอร์ตในสนามบินของ AOT อาจลดลงถึงประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะฉุดให้ผลกำไรลดลง

มุมมองที่เป็นลบในแนวโน้มผลประกอบการ จึงจุดชนวนการเทขายหุ้น AOT จนราคาดิ่งลงลึก และเป็นหุ้นที่ฉุดดัชนีฯในวันศุกร์จนหัวทิ่มหัวต่ำลดลงกว่า 12 จุด

ปีนี้คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย จะมีทั้งสิ้นประมาณ 40 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีจำนวนประมาณ 36 ล้านคน ธุรกิจท่องเที่ยวที่คึกคักสุดขีด

ย้อนถึงช่วงเวลาก่อนวิกฤตโควิด ทำให้ธนาคารโลกหรือ worldbank ปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ปี 2568 เพิ่มเป็น 2.9% จากเดิมประเมินไว้เพียง 2.5%

หุ้น AOT จึงเป็นหุ้นตัวเด่นที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟันธงให้ซื้อ แต่ใครที่เข้าไปซื้อ เจ็บหนักกันหมด เพราะผลกระทบจากรายได้คิงส์เพาเวอร์ที่ขาดขาย และไม่น่าเชื่อว่า คิงส์เพาเวอร์จะตกต่ำ ถึงขั้นขาดสภาพคล่อง จนต้องขอยืดหนี้ AOT

ผลประกอบการ AOT ไตรมาสแรก (1ต.ค.-21 ธ.ค.2567) ผลกำไรยังเติบโตอยู่ โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,5663.03 ล้านบาท แความกังวลว่า ผลกำไรทั้งปีจะชะลอตัวลง นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันจึงแห่เทขายหุ้นทิ้ง ลดความเสี่งจากความไม่แน่นอนของผประกอบการ

แนวโน้มหุ้น AOT เปลี่ยนไปแล้ว ผลกำไรอาจไม่สดใสเหมือนเดิม โดยจะเห็นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่ไม่รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยที่กลับมาบูมสุด ๆ อีกครั้ง

นักลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้น AOT จำนวน 96,687 ราย คงต้องทบทวนว่า จะสู้ต่อหรือถอดใจขายหุ้นทิ้ง หลังจากนักลงทุนสถาบับแห่เทขายไปล่วงหน้าแล้ว




ที่มา : MgrOnline