ยกฟ้อง "สนธิ" คดีหมิ่น "สยามราช ผ่องสกุล" ชี้เรียบเรียงให้ย่อยง่าย ติชมด้วยความเป็นธรรม
เผยแพร่ : 17 ก.พ. 2568 14:45:33
• ศาลยกฟ้องสนธิ ลิ้มทองกุล
• คดีหมิ่นประมาท สยามราช ผ่องสกุล
• เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาพัวพันแก๊งสวาปาม์
• ศาลเห็นว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ ไม่ใช่การกล่าวหาโดยเจตนาให้เสียหาย

ศาลแม่สะเรียงยกฟ้อง "สนธิ ลิ้มทองกุล" คดีหมิ่น "สยามราช ผ่องสกุล" กรณีกล่าวหาพัวพันแก๊งสวาปาล์ม บริษัทยักษ์ใหญ่ในเครือ ปตท. GGC และ PTTGC ชี้เป็นการเรียบเรียงข้อเท็จจริง เผยแพร่จากหน่วยงานรัฐให้เข้าใจง่าย สะดวกแก่ประชาชนที่ติดตาม ทำความเข้าใจเรื่องซับซ้อน อีกทั้งนำเสนอข่าวสารเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ และติชมด้วยความเป็นธรรม
วันนี้ (17 ก.พ.) ที่ศาลจังหวัดแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ศาลพิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำที่ อ.85/2566 ที่นายสยามราช ผ่องสกุล อายุ 47 ปี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องร้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ในคดีหมิ่นประมาทอันเกี่ยวข้องกับการที่นายสนธิออกรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ EP. 196 เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2566 โดยโจทก์กล่าวหาว่านายสนธิหมิ่นประมาทตนเอง โดยนำตนเองไปเกี่ยวพันกับบุคคลที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด และเกี่ยวพันกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ
โดยศาลเห็นว่าจำเลยมุ่งประสงค์บรรยายสรุปถึงพฤติกรรมต่างๆ ของกลุ่มขบวนการทุจริตซึ่งกำลังถูกติดตามตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการทุจริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด หรือ GGC, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ซึ่งมีความซับซ้อนให้เข้าใจโดยง่าย สะดวกแก่การติดตาม โดยใช้ข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), ป.ป.ช., ดีเอสไอ ตลอดจนบริษัท GGC ซึ่งเป็นที่รับทราบกันทั่วไปแพร่หลายดีอยู่แล้ว มาเรียบเรียงกล่าวขึ้นมาใหม่ โดยล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่สำนักข่าวหรือสื่อสารมวลชนอื่นนำเสนอเช่นกัน หาใช่มีแต่จำเลยที่นำเสนอข่าวเท่านั้น และยังไม่ปรากฏว่าเป็นเรื่องที่จำเลยปั้นแต่งหรือกุขึ้นมาเอง
ลักษณะเป็นการกล่าวเล่าเรื่องสรุปสาระสำคัญประกอบแผนผังขั้นตอนการทุจริต ตลอดจนความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้ทุจริตแต่ละคน รวมทั้งบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีอยู่หลากหลายให้ประชาชนผู้ติดตามรับฟังภาพเชื่อมโยงที่มาที่ไป จึงเป็นเรื่องที่จำเลยเพียงแต่ต้องการนำเสนอรายละเอียดของข้อเท็จจริงที่ซับซ้อน เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกในการติดตามเท่านั้น และเป็นคนละส่วนแยกกับที่จำเลยกล่าวถึงโจทก์ในตอนท้าย เห็นได้ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ ยังไม่มีข้อความส่วนใดจะแปลความได้ถึงขนาดว่าจำเลยระบุชัดแจ้ง หรือกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงใส่ร้ายโดยตรงแล้วว่าโจทก์เป็นสมาชิกหรืออยู่ในกลุ่มขบวนการทุจริตดังกล่าว หรือรับจ้างนางแนนซี่กับพวกให้มาร้องเรียน อันจะสื่อได้ว่ามีเจตนาใส่ร้ายป้ายสีโจทก์
ข้อความที่จำเลยกล่าวในตอนท้ายว่า กลับมาเรื่องของนายสยามราช ... ร่วมกับนายธนกร ... ก็มีลักษณะเป็นการตั้งประเด็นอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างนางแนนซี่ กับโจทก์ ตลอดจนข้อสงสัยถึงพฤติการณ์ของโจทก์ที่นำเรื่องมาร้องเรียนต่อหน่วยงานของรัฐเร่งรีบซ้ำๆ เพื่อให้ประชาชนช่วยกันติดตาม ว่าเหตุใดโจทก์จึงยอมแลกเอาตัวเข้าเสี่ยงภัยโดยตรง โดยไม่ดำเนินการตามขั้นตอนตามระเบียบของบริษัทตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พฤติการณ์แห่งคดี น่าเชื่อว่าจำเลยเพียงต้องการสื่อข้อมูลให้ประชาชนทั่วไปรับทราบว่าเพราะเหตุใดโจทก์ซึ่งเป็นทนายความของนางแนนซี่จึงมาร้องเรียนเรื่องต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ตามที่ตนเข้าใจมาโดยสุจริตเท่านั้น จำเลยนำเสนอข้อมูลส่วนใหญ่ไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสอบสวนของผู้เกี่ยวข้อง
ดังนั้นแล้ว ข้อความที่จำเลยกล่าวในรายการจึงถือเป็นเรื่องที่จำเลยในฐานะประชาชนนำเสนอข่าวสารที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบถึงข้อมูลที่โจทก์ร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ ของรัฐโดยไม่ทราบสาเหตุและเพื่อตั้งประเด็นให้ช่วยกันติดตามพฤติการณ์ของโจทก์ต่อไปเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นการกล่าวติชมและตั้งข้อสังเกตตามสมควร ในลักษณะเป็นคำถามนำเสนอข่าวสารเชิงวิเคราะห์ของจำเลยแก่สังคมเกี่ยวกับสาธารณะประโยชน์ และติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (3) พิพากษายกฟ้อง"
ที่มา : MgrOnline