จตช.คุยทูตแลกเปลี่ยนข้อมูลคัดแยกเหยื่อแก๊งคอลฯ เมียวดี ไม่ได้รับรายงานเอธิโอเปียลอยแพคนชาติตัวเอง
เผยแพร่ : 17 ก.พ. 2568 15:11:33
• ประชุมร่วมกับ UNODC และ HSI
• วัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูล
• เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และช่วยเหลือเหยื่อ

จเรตำรวจแห่งชาติ หารือทูต 5 ประเทศ และผู้แทนสถานทูต 18 ประเทศ UNODC และ HSI ประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูล เดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือคัดแยกเหยื่อ ไม่ได้รับรายงานทางการเอธิโอเปียลอยแพไม่รับคนชาติตัวเองกว่า 100 กลับประเทศ
วันนี้ (17 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติพล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ครั้งที่ 2 โดยมี พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. และคณะ พร้อมด้วยเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ , ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต 18 ประเทศ , สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime, UNODC) และสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations, HSI) ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในการประชุมครั้งนี้ เป็นการแจ้งผลการปฏิบัติภายหลังการประชุมร่วมกันในครั้งแรก โดยได้มีการดำเนินการตาม 7 มาตรการเข้มของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการซักถามคัดกรองนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อป้องกันผู้ที่ถูกหลอกลวงข้ามแดนไปยังฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งพบว่ามาตรการดังกล่าวเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวสัญชาติต่างๆ จำนวน 58 คน ที่เปลี่ยนใจไม่เดินทางไปยัง อ.แม่สอด ประกอบกับมาตรการของรัฐบาลไทย โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต-น้ำมันเชื้อเพลิง ไปยังฝั่งเมียวดี พบว่าสามารถกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างได้ผล มีการปล่อยตัวคนกลับออกมาจำนวนมาก และสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้บางส่วน ซึ่งสถานทูตประเทศต่างๆ ชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มข้น
พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้ประสานความร่วมมือกับสถานทูตทุกประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก และ IP Address เพื่อจะได้สามารถตรวจสอบจุดที่เป็นที่ตั้งของกลุ่มแก๊งดังกล่าว ซึ่งต้องประสานความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ว่ายังมีคนที่ถูกหลอกจากพื้นที่เมียวดีอีกหรือไม่ รวมทั้งเพื่อมีข้อมูลเชิงลึกในการคัดแยกเหยื่อ และสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สร้างแพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางสถานทูตประเทศต่างๆ ไว้แล้ว เพื่อสะดวกในการทำงานร่วมกันต่อไป

พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่า ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือล่าสุดที่ถูกปล่อยตัวกลับมา 260 คน ทั้งหมดกำลังเข้าสู่กระบวนการคัดกรองเพื่อแยกระหว่างผู้เสียหายและกลุ่มมิจฉาชีพ โดยใช้แบบสอบถามและขั้นตอนของกลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM ซึ่งจะทราบผลภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันรับตัวมา จากนั้นเมื่อคัดแยกผู้เสียหายได้แล้ว จากนั้นจะประสานสถานเอกอัครราชทูตของแต่ละประเทศในการรับตัวกลับทันที โดยจะใช้สนามบิน อ.แม่สอด จังหวัดตากเป็นจุดส่งตัวกลับ และขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีประเทศใดไม่มีความประสงค์จะรับตัวประชากรกลับ
ส่วนผู้ที่จะถูกส่งตัวกลับมาคาดว่าจะมีประมาณ 10,000 คน ซึ่งขณะนี้ทางการไทยอยู่ระหว่างการเจรจา ให้ขั้นตอน NRM เกิดขึ้นใน ประเทศเมียนมาเนื่องจากเป็นประเทศต้นทางที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ที่จะถูกส่งตัวกลับมาอีกประมาณ 500 คน ภายในสัปดาห์นี้ ทางการไทยก็อยู่ระหว่างการเจรจรให้ทำแบบคัดกรอง NRM ที่ฝั่งประเทศเมียนมาเช่นเดียวกัน
พล.ต.อ.ธัชชัย ยืนยันว่าประเทศไทยเป็นเพียงตัวกลางในการประสานให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายเท่านั้น โดยผู้ที่ผ่านการคัดกรองและยืนยันว่ามีสถานะเป็นผู้เสียหาย หากมีความประสงค์จะดำเนินคดี ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีที่ประเทศเมียนมา ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้แจ้งผลการความคืบหน้าการคดี หวังซิง นักแสดงชาวจีน ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า สามารถจับกุมชาวจีนที่เกี่ยวข้องได้ 10 คน และได้ส่งตัวให้ทางการจีนไปดำเนินคดีแล้ว
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวที่ทางการเอธิโอเปียไม่รับคนประเทศตัวเองกว่า 100 คน กลับประเทศนั้น พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ยังไม่รับรายงานกรณีดังกล่าว
ที่มา : MgrOnline