หนุ่มนครปฐมถูกตำรวจทิ้งปิดปากไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ หลังเรื่องราวบานปลาย

เผยแพร่ : 28 พ.ย. 2567 20:09:04
X
• เขาปฏิเสธการให้สัมภาษณ์กับสื่อ
• เจ้าของคลิปเสียงข่มขู่เข้าแจ้งความ
• เจ้าของคลิปอ้างข่มขู่เพราะเป็นห่วงพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของชายหนุ่ม

นครปฐม - หนุ่มโพสต์ถูกตำรวจยึดรถแล้วทิ้งกลางทาง ปิดปากไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ หลังเรื่องราวบานปลาย ด้านจ้าของคลิปเสียงข่มขู่ โผล่ลงบันทึกประจำวันอ้างทำไปเพราะเป็นห่วง เนื่องจากผู้โพสต์ใช้โซเชียล ไม่เหมาะสม กลัวจะมีปัญหากับคนอื่น

จากกรณี กิตติพงษ์ หนุ่มกำแพงแสน โพสต์คลิปภาพและข้อความว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เรียกให้ตรวจค้นรถจักรยานยนต์ ซึ่งตนได้ขี่พาแฟนไปซื้อของช่วงกลางคืน และมีการเรียกดูเอกสารแต่เป็นชื่อพ่อแฟนที่เสียชีวิตไปแล้วและไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการยึดรถไปตรวจสอบ และได้ทิ้งตนและแฟนไว้กลางทางช่วงกลางคืน ซึ่งทั้ง 2 ฝั่งได้ออกมาชี้แจงในมุมของแต่ละฝ่ายไปแล้ว

ล่าสุด วันนี้ (28 พ.ย.) นายจิรพธ์ สระทองจีน อายุ 42 ปี หรือช่างนะ ช่างซ่อมแอร์ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เพื่อลงบันทึกประจำวันหลังจากปรากฏเสียงของตนไปอยู่ในคลิป ที่นายกิตติพงษ์ได้มีการโพสต์ข้อความและส่งให้สื่อมวลชนได้ดูไปเมื่อวานนี้โดยยอมรับว่าเสียงดังกล่าวตนได้เป็นผู้โทร.ไปหานายกิตติพงษ์จริง เนื่องจากมีความเป็นห่วงว่านายกิตติพงษ์ น่าจะมีปัญหาอีกหลายเรื่อง และไม่อยากให้มีปัญหาอื่นติดตามมา

ช่างนะ บอกว่าเสียงดังกล่าวเป็นเสียงของตน ซึ่งได้ทราบหลังจากที่เห็นโพสต์ข้อความปรากฏในเพจข่าวสารกำแพงแสน โดยมีความเป็นห่วงเนื่องจากนายกิตติพงษ์ เคยทำงานอยู่กับตน และเป็นคนนิสัยดีน่ารัก จึงเกิดความเป็นห่วงและไม่อยากให้มีเรื่องบานปลายกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง จึงได้วางแผนออกอุบายกับเพื่อนทั้งสองคนว่าจะโทร.มาหลอกให้นายกิตติพงษ์ ลบโพสต์และหยุดการกระทำที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่ส่งผลดีกับใคร และขอยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดตนได้พยายามพูดขึ้นเพื่อสร้างสถานการณ์ขึ้นมา

"คือผมเป็นคนโทร.ไปเอง เพราะรู้นิสัยน้องคนนี้ดีว่าเขามีอะไรก็ชอบโพสต์ขึ้นโซเชียล และเรื่องที่โพสต์มันดูรุนแรงเกินไปเลยออกอุบายกันเพื่อจะอำน้องให้หยุดพฤติกรรม แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องบานปลาย เรื่องนี้แสดงขึ้นจากความเป็นห่วงของของผมจริงๆ เรื่องมือปืนหรืออะไรผมว่าไม่มีที่ตำรวจจะมาสั่งให้ผมทำแบบนั้น" ช่างนะกล่าวหลังมาทำการลงบันทึกประจำวัน

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้โทร.สอบถามกับนายกิตติพงษ์ ซึ่งได้บอกว่าผมทราบเรื่องที่ช่างนะได้ลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรกำแพงแสนแล้ว และขอไม่พูดอะไร ยังไม่ให้ข้อมูลหรือสัมภาษณ์ โดยขอให้พักเรื่องราวทั้งหมดไว้ก่อนและยังไม่ได้รับการติดต่อประสานงานจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งเรื่องการข่มขู่หรือการติดต่อให้ไปรับรถออกจากที่ถูกยึดไว้แต่อย่างใด

ขณะที่ทางสถานีตำรวจภูธรกำแพงแสน ได้มีการออกหนังสือชี้แจงในกรณีดังกล่าวเพื่อชี้แจงกับประชาชน โดยมีเนื้อหาระบุว่าตามที่ปรากฏในสื่อสาธารณะ ข่าวสารกำแพงแสน ว่า “กรณีผู้ใช้ Facebook โพสต์ว่าขับรถออกมาดีๆ จะมาซื้อน้ำแต่ถูกตำรวจยึดรถไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนและทิ้งผู้ขับขี่ไว้กลางทาง ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วพบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณตีหนึ่งครึ่ง และตามคลิปที่ปรากฏซึ่งรถจักรยานยนต์ดังกล่าวได้ขับมาถึงหน้าร้าน เฝอแฟคตอรี่ จึงได้ให้ทำการหยุดตรวจและได้ขอดูสมุดสำเนารถ

พบว่าเป็นของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุสงสัยได้ว่าได้มาโดยผิดกฎหมายหรือมีเหตุอันสมควรว่าได้ให้ใช้หรือตั้งใจจะนำไปใช้ในการกระทำความผิด จึงได้ทำการบันทึกและยึดรถคันดังกล่าวไว้ ส่วนกรณีที่ถูกทิ้งไว้กลางทางนั้น เจ้าหน้าที่ได้สอบถามแล้ว ผู้โพสต์แจ้งว่าแฟนของผู้โพสต์อาศัยอยู่ที่หอพักใกล้ๆ ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นเขตชุมชนมีแสงสว่าง ไม่น่าจะมีเหตุอันตราย จึงได้นำรถดังกล่าวไปตรวจสอบและลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่าผู้โพสต์ไปแจ้งเหตุว่าถูกตำรวจยึดรถแล้วปล่อยผู้โพสต์ทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุทำให้เกิดความเดือดร้อน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้กลับที่เกิดเหตุและพบผู้โพสต์และแฟนของผู้โพสต์อยู่บริเวณเดิม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามว่าต้องการให้ไปส่งบ้านหรือไม่ ผู้โพสต์บอกว่าไม่ต้องการ เนื่องจากจะมีเพื่อนมารับ เจ้าหน้าที่จึงได้รายงานกลับไปที่ศูนย์วิทยุและออกจากที่เกิดเหตุไม่ได้มีการเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนแต่อย่างใด

ขณะที่มีข้อมูลว่าขณะนี้ นายกิตติพงษ์ ยังไม่ได้ติดต่อประสานเข้ามารับรถจักรยานยนต์ที่ถูกยึดแต่อย่างใด ส่วนกรณีของการแจ้งความกลับเพื่อดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท ทาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พนักงานสอบสวนจะได้รวบรวมหลักฐานว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหรือไม่ และรวมถึงกลุ่มของผู้เข้ามาคอมเมนต์ซึ่งมีหลายราย โดยจะมีการตรวจสอบ ว่าเจ้าของคอมเมนต์นั้นเป็นบุคคลใดหรืออยู่ที่ไหน ซึ่งจะมีการประเมินและดำเนินการต่อไปตามกระบวนการ

ที่มา : MgrOnline