IVF เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 3.10 บาท เปิดจองซื้อ 29 พ.ย.-3 ธ.ค.คาดเทรด 11 ธ.ค.นี้
เผยแพร่ : 28 พ.ย. 2567 17:32:23
• อัตราส่วน P/E อยู่ที่ 44.93 เท่า
• เปิดให้จองซื้อ 29 พ.ย. - 3 ธ.ค.
• คาดว่าจะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 11 ธ.ค.
บมจ.อินสไปร์ ไอวีเอฟ (IVF) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 29.55 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ราคาหุ้นละ 3.10 บาท พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-3 ธ.ค.67 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก 11 ธันวาคม 2567
วัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนราว 403 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มบริการเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟู ด้วยโอกาสทางธุรกิจจากเทรนด์อุตสาหกรรมรักษาผู้มีบุตรยากทั่วโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็น "ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากลในระดับแนวหน้าของประเทศและระดับเอเชีย"
IVF เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 3.10 บาท P/E 44.93 เท่า เปิดจองซื้อ 29 พ.ย.-3 ธ.ค.คาดเทรด 11 ธ.ค.
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัททีเสนอขายในครั้งนี้ พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัท (Price to Earnings Ratio : P/E) ราคาเสนอขายหุ้นละ 3.10 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิเท่ากับ 44.93 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ตังแต่ 1 ต.ค.66 ถึง 30 ก.ย.67 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 30.36 ล้านบาท และคำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขาย IPO ซึ่งเท่ากับ 440,000,000 หุ้น (Fully Diluted) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.07 บาทต่อหุ้น
พร้อมแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่กำหนด ได้แก่ บล.คิงส์ฟอร์ด บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บล.ดาโอ (ประเทศไทย) บล.บียอนด์ บล. ลิเบอเรเตอร์ บล.เอเอสแอล และ บล.ไอร่า
น ส.เกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IVF เปิดเผยว่า รายงานภาพรวมอุตสาหกรรมรักษาผู้มีบุตรยาก (Fertility) โดย Allied Market Research บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับข้อมูลการตลาด ระบุว่า ในปี 70 ตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยาก (Fertility Tourism) ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 33.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 14.2% ต่อปี ซึ่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงที่สุด ราว 5.62 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 14.7% ต่อปี (ปี 2562-2570) ซึ่งประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของธุรกิจ Fertility Tourism ในเอเชีย ด้วยปัจจัยหนุนของรัฐบาลที่ผลักดันไทยเป็น Medical Hub รวมถึงศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์ และค่ารักษาพยาบาลที่เข้าถึงได้
ตลอดการดำเนินธุรกิจศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากลของ IVF เป็นเวลากว่า 6 ปี เรามีอัตราความสำเร็จ (Success Rate) ย้อนหลัง 3 ปีตั้งแต่ 64-66 สูงกว่าค่าเฉลี่ยและสูงสุดถึง 70-76% โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านการให้บริการภายใต้มาตรฐานสากล ทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ตลอดจนลงทุนในเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ ทั้ง EmbryoScope plus ตู้เลี้ยงตัวอ่อนที่สามารถติดตามการเจริญเติบโตได้แบบเรียลไทม์ พร้อมประเมินคุณภาพด้วยเอไอ เทคนิค PGT-A/-SR ด้วยเทคนิค SNP Array จาก illumina สหรัฐอเมริกา ที่ช่วยคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมได้อย่างแม่นยำ เพื่อลดระยะเวลาและเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการ จนเกิดเป็นการตลาดแบบ Word of Mouth ในกลุ่มผู้ใช้บริการเป็นวงกว้าง และขยายฐานลูกค้าต่างชาติได้มากกว่า 80% เช่น อินเดีย จีน เวียดนาม และออสเตรเลีย
"วัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อขยายสาขาในประเทศและต่างประเทศ (New Market) รวมถึงการเพิ่มบริการเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟู (New Service) ตามแผนการก้าวสู่ตำแหน่งศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากลในระดับแนวหน้าของประเทศและระดับเอเชีย เพื่อรองรับตลาด Fertility Tourism ในอนาคต ตลอดจนสามารถมอบผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนให้พันธมิตรและนักลงทุน" น.ส.เกศิณี กล่าว
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ได้กล่าวเสริมว่า IVF ถือเป็นหุ้นที่น่าจับตามองและเลือกลงทุน โดยจัดเป็นหุ้นที่มีศักยภาพเป็น growth stock ที่มอบผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืน จากแผนการขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงตัวเลขผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (ปี 64-66) เท่ากับ 11.24 ล้านบาท 63.31 ล้านบาท และ 121.55 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจกลุ่มรักษาผู้มีบุตรยาก
ขณะที่งวด 9 เดือนของปี 67 บริษัทสามารถสร้างรายได้จากการให้บริการถึง 83.28 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยาก 76.61 ล้านบาท (92%) และรายได้จากธุรกิจเวชศาสตร์ฟื้นฟู 6.67 ล้านบาท (8%) ขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสัดส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสัดส่วนของทรัพย์สิน (ROA) จะอยู่ที่ 35.1% และ 19.9% ตามลำดับ
"ผมเชื่อว่า IVF พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากลในระดับแนวหน้าของประเทศและระดับเอเชีย ของคนไทยในเวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด Simplicity in Every Step ที่ทำให้ทุกฝันเป็นเรื่องง่าย และเป็นไปได้จริง ด้วย 5 จุดแข็งสำคัญ ได้แก่ 1.ทีมผู้เชี่ยวชาญ 2.เทคโนโลยีล้ำสมัย 3.การจัดการคุณภาพระดับสากล 4.การดูแลใส่ใจทุกมิติ และ 5.เครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ IVF ยังสร้างความโดดเด่นด้วยอัตราความสำเร็จ 76% ซึ่งนับว่าสูงกว่าข้อมูลอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์เฉลี่ยของประเทศไทย (ที่มา: กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือ สบส.)" นายวรชาติ กล่าว
ที่มา : MgrOnline