“ทนายพจน์” พูดในฐานะเคยร่วมงานทนายตั้ม-เมีย สู้คดีเหนื่อยแน่
เผยแพร่ : 27 พ.ย. 2567 14:11:54
• มองว่าการต่อสู้คดีของทนายตั้มจะยากลำบากมากขึ้น หลังทนายถอนตัว
• ทนายตั้มสามารถแต่งตั้งตัวเองเป็นทนายความได้
• แต่หากถูกควบคุมตัวอยู่ จะไม่สามารถสวมชุดทนายความได้
นครปฐม - “ทนายพจน์” ให้ความเห็นในฐานะคนเคยให้คำปรึกษาทนายตั้มคดีหวย 30 ล้านบาท มองการต่อสู้คดีของทนายตั้ม เหนื่อยแน่ หลังจากมีทนายถอนตัวไม่ทำคดีให้ ทนายตั้มมีสิทธิแต่งตัวเองเป็นทนายความได้แต่หากถูกควบคุมตัวอยู่ก็ไม่สามารถสวมชุดว่าความตามระเบียบได้
วันนี้ (27 พ.ย.) จากคดีความทนายศิธา เบี้ยบังเกิด และภรรยาซึ่งถูกควบคุมตัวในคดีฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาท และสาวมาถึงยอดเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งนางจตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ผู้เสียหายได้เดินหน้าในคดีสุดซอย ซึ่งยังมีคนใกล้ชิดถูกออกหมายจับและควบคุมตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน รวมถึงเอกสารต่างๆ พบพิรุธหลายประเด็น
โดยประเด็นดังกล่าว นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร “ทนายพจน์” ได้ออกมาให้ความเห็นถึงเรื่องแนวทางการต่อสู้คดี เนื่องจากนายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือฉายาทนายปาเกียว ได้ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความในการต่อสู้คดีให้ทนายตั้ม ยิ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนได้ตั้งข้อสงสัยไม่ต่างๆ กับสื่อมวลชนหลายแขนงที่ต้องการจะหาข้อเท็จจริง และแนวทางในการต่อสู้คดีครั้งนี้ในหลายคดีที่เกิดขึ้น
นายศุภภัทร์พจน์ หรือ “ทนายพจน์” กล่าวว่า สำหรับคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจเนื่องจากทนายตั้ม เป็นทนายที่มีชื่อเสียง ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นที่สนใจของประชาชน แต่ในฐานะที่เคยคุ้นเคยกันอยู่กับทนายตั้ม ระยะหนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงของการทำคดีเกี่ยวกับหวย 30 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นทนายตั้มได้โทร.มาขอคำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อจบคดีไปได้ห่างหายกันไป ก่อนที่ทนายตั้มจะโลดแล่นอยู่ในแวดวงโซเชียลหลายคดี
“ทนายพจน์” กล่าวต่อว่า ตอนนี้สังคมอาจจะมองว่าใครที่มาเป็นทนายจำเลยจะเดือดร้อน หรือเสียชื่อเสียงไปด้วย ในเรื่องนี้อยากจะแจ้งให้ประชาชนได้ทราบว่า จำเลยทุกคนจะต้องมีทนายซึ่งหากไม่มีทนายการพิพากษาเป็นไปโดยไม่ชอบ เพราะจำเลยไม่มีทนาย ศาลต้องยกฟ้อง เป็นอันดับที่หนึ่ง อันดับต่อมา คือหากไม่มีใครกล้ามาเป็นทนายให้ทนายตั้ม เพราะกลัวกระแสสังคม ประเด็นนี้ตัวทนายตั้ม สามารถเป็นทนายความว่าความให้ตัวเองได้
แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ต้องขังจะมาเป็นทนายให้ตัวเองจะต้องสวมชุดสีน้ำตาล เขาเรียกว่าชุดศาลเบิก ชุดออกศาล ซึ่งการสวมชุดสีน้ำตาลจะไม่สามารถสวมชุดครุยว่าความได้ เพราะการสวมชุดครุยทนายจะต้องมีรูปแบบ เช่น จะต้องสวมเสื้อเชิ้ต แต่การสวมชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาลแล้วมาสวมครุยว่าความ มันผิดระเบียบไม่สามารถทำได้ นอกเสียจากว่าทนายตั้ม จะได้รับการประกันตัวออกไป แต่ในตอนนี้ทนายตั้ม ยังอยู่ในการควบคุมฉะนั้นหากถูกเรียกตัวมาเพื่อสืบพยานจะต้องสวมชุดน้ำตาล โดยที่ไม่มีชุดครุย แต่สามารถว่าความให้ตัวเองได้ แต่งทนายให้ตัวเองได้ จะมีการซักถามค้าน ถามติง เบิกความทำเองได้หมด
“ทนายพจน์” กล่าวต่ออีกว่า ประเด็นที่สาม คือทนายตั้มต้องสู้สุดซอย อย่างที่ทนายอาคม เขาบอก เพราะว่าเขามาไกลแล้ว และมีหลายคดีและหลายกรรมมารวม ทั้งทั้งคดี 71 ล้านบาท คดี 39 ล้านบาท 9 ล้านบาท มันมีหลายกรรม และมีการให้การปฏิเสธมาโดยตลอดถ้าสุดท้ายเขามารับ จะกลายเป็นว่ารับเพราะจำนนด้วยหลักฐาน ศาลอาจจะไม่บรรเทาโทษให้ ฉะนั้นผมมองว่ารับติด ก็ติดอยู่ดีแต่เขาสู้ ต้องสู้หัวชนฝา มีสองทาง คือ ยกฟ้องทั้งหมดเขารอด สามศาลลงโทษเขาติดคุก ในเมื่อรับก็ติด สู้ก็มีโอกาสเป็นประเด็นที่ทนายตั้มต้องสู้
"ผมว่าทนายตั้มเหนื่อยมาก เพราะมีหลายกรรมหลายคดีแต่มันเชื่อมโยงกันทั้งหมด แล้วเรื่องปลอมแปลงเอกสาร และยังมีการแต่งเอกสารเรื่องยกมรดกขึ้นอีก ตอนนี้ดูมันยุ่งไปหมดแล้วตัวเขาเองน่าจะงงไปหมดแล้วว่าอะไรอะไรมัน ดูพันกันไปหมดแล้วตอนนี้ และทนายทุกคนมองเหมือนกัน คือถ้าเราอยู่ในสถานะของทนายตั้ม ณ ตอนนี้ ให้การรับสารภาพน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า แต่ตอนนี้มันมีหลายเรื่อง เรื่องไหนที่ตัวเองผิดรับสารภาพไป เรื่องไหนที่คิดว่าตัวเองไม่ผิดหรือมีพยานหลักฐานที่มายืนยันได้สู้กันไปไม่ว่ากัน แต่เรื่องไหนผิดจริงต้องยอมรับไปไม่ใช่หัวชนฝา มันจะชนฝาจริงๆ มันจะบาดเจ็บจริงๆ" ทนายพจน์ กล่าว
ส่วนคดีของภรรยาทนายตั้ม มองว่า เป็นที่รู้กันว่าประชาชนเห็นเหมือนกันว่าภรรยาจะไม่รู้ไม่เห็นเลยก็เป็นไปไม่ได้ว่าเงิน 71 ล้านบาท 39 ล้านบาท ยอดต่างๆ ที่โอนเข้ามาจะมาจากไหน จะมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เห็นว่าเงินมาจากไหน แต่เป็นที่น่าเห็นใจว่าจากการที่เป็นผู้หญิงที่อยู่ภายนอกและมีเงินทองใช้แต่ต้องเข้ามาอยู่ในสถานที่ควบคุมเช่นเรือนจำก็ต้องใช้ชีวิตยากลำบาก ในส่วนในมุมมองของผมและประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่าเงินที่โอนเข้ามาจะมาจากไหนมาจากใคร บ้าน 40 ล้านบาท มาใส่ชื่อตัวเองก็ชัดเจน และเหนื่อยในแนวทางการต่อสู้คดีด้วยเช่นกัน
ที่มา : MgrOnline