ดันอุตฯ "กัญชง" New S-Curve มุ่งทำ "ไบโอพลาสติก" สธ.ดัน 1 ใน 5 พืชหลัก Quick Win เผยงาน AIHE คาดเงินสะพัดเกือบ 2 พันล.

เผยแพร่ : 27 พ.ย. 2567 13:01:48
X
• กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้ากัญชงเป็นอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) เน้นผลิตไบโอพลาสติก ลดคาร์บอน
• โฟกัสตลาดภายในประเทศก่อนขยายสู่ต่างประเทศ
• กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนการใช้กัญชงทางการแพทย์ 100% ไม่สนับสนุนการใช้เพื่อสันทนาการ
• กัญชงถูกวางเป้าหมายเป็นหนึ่งในห้าพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ

จัดยิ่งใหญ่ AIHE 2024 ก.อุตฯ ตั้งเป้าดัน "กัญชง" เป็น New S-Curve มุ่งสู่ไบโอพลาสติก ช่วยลดคาร์บอน พร้อมติดปีกช่วยอุตสาหกรรมไปข้างหน้า เน้นขยายตลาดในประเทศก่อนส่งออก ด้าน สธ.หนุนการแพทย์ 100% ไม่มีสันทนาการ ดันเป็น 1 ใน 5 พืชหลักเร่งด่วน "Quick Win" ส่งเสริมต้นน้ำ-ปลายน้ำ รองรับเมดิคัลและเวลเนสฮับ ส่วน TiHTA คาดเงินสะพัดในงานเกือบ 2 พันล้านบาท

เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายโฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิดงาน Asia International Hemp Expo & Forum 2024 (AIHE) จัดโดยสมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย (TiHTA) และบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) โดยมีผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมกัญชงพร้อมนักลงทุน นักอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าร่วม

นายโฆสิตกล่าวว่า สธ.มีวิสัยทัศน์พัฒนากัญชงกัญชาทางการแพทย์ ยืนยันว่า ไม่มีเรื่องของสันทนาการ อย่างสมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ สธ. เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ให้ความสนใจกับเส้นใยกัญชงในเรื่องของสิ่งทอและอาหาร สามารถพัฒนาเป็น "เส้นใยของชาติ" ได้ ถือเป็นหนึ่งในนโยบาย สธ.ที่ปรับบทบาทไม่ได้ดูแลแค่ด้านสังคมอย่างเดียว แต่รวมไปถึงด้านพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพด้วย เป็นเศรษฐกิจใหม่ของประเทศที่ทำรายได้อย่างยั่งยืนมั่นคง โดยเน้นการนำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดและถูกต้องตามกฎหมาย พัฒนาศักยภาพสู่เมดิคัลแอนด์เวลเนสฮับ ทั้งเรื่องของสมุนไพร สูตรตำรับยาทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย ส่งเสริมวิจัยทางคลินิกมาใช้รักษาโรค รวมถึงการแพทย์ผสมผสาน สนับสนุนการปลูก แปรรูป จัดทำกฎหมายฉบับใหม่ครอบคลุมต้นน้ำถึงปลายน้ำ เน้นป้องกันผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยีและร่วมผลักดันให้ก้าวหน้าต่อไป

"ตามนโยบายของ รมว.สธ. กัญชงกัญชาทางการแพทย์สนับสนุนเต็มที่ 100% เพราะสอดรับกับนโยบายรัฐบาลเรื่องเมดิคัล ฮับ และเวลเนส ฮับ และมีนโยบายให้ทำงานร่วมมือกับภาคเอกชน ทั้งด้านกฎกติกา ระเบียบที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่ สธ.จะเข้าไปร่วมมือได้ ทั้งการขออนุญาตต่างๆ ที่มีการลดขั้นตอน เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจสุขภาพและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความปลอดภัยประชาชน" นายโฆสิตกล่าว

นายโฆสิตกล่าวอีกว่า สธ.ยังมีคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ซึ่งกัญชงกัญชาเป็น 1 ใน 5 พืชหลักที่เรียกว่า Quick Win ที่เราจะเร่ง เพราะ สธ.โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นเลขานุการของคณะกรรมการฯ ชุดนี้ ได้แก่ กระชายดำ ไพล ขมิ้นชัน กระท่อม และกัญชงกัญชา ตามด้วยสมุนไพรที่เป็นแชมเปียนของประเทศไทยอีก 10 กว่ารายการ เป็นความชัดเจนว่า สธ.ยุคใหม่นอกจากดูแลความปลอดภัยและสุขภาพเรามองเรื่องเศรษฐกิจสุขภาพด้วย โดยวันที่ 6 ธ.ค. 2567 จะมีการประชุมคณะกรรมการฯ จะมีการหารือสรุปเกี่ยวกับสมุนไพรเร่งด่วน 5 ตัวและสมุนไพรหลัก 10 กว่าตัว เพื่อไปร่วมกันทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพราะตรงนั้นจะครบทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพร ซึ่งทั้ง 5 ตัวนี้จะผลักดันเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ

เมื่อถามถึงคนส่วนใหญ่ยังมองว่ากัญชากัญชงยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพอยู่ จะสร้างความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างไร นายโฆสิตกล่าวว่า ก็คงต้องรอให้มีกฎหมายกัญชงกัญชาออกมาให้ชัดเจน ซึ่งขณะนี้มีการศึกษาและผ่านประชาพิจารณ์ของประชาชนไปแล้ว เข้าใจว่าค่อนข้างครอบคลุมทุกประเด็นในเรื่องของการแพทย์ อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการต่อไป ส่วนการผลักดันเมดิคัล ฮับ และเวลเนส ฮับ ตอนนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว มีคณะกรรมการดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ซึ่งเรามีชื่อเสียงระดับโลก และเวลเนสวิถีไทยก็น่าจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้ไปสู่ระดับโลกเป็นเวิลด์คลาส มีความร่วมมือกับภาคเอกชนไปหลายครั้งแล้ว ไปจนถึงเรื่องเครื่องมือแพทย์

นายโฆสิตกล่าวว่า สำหรับการจัดงาน AIHE นับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว มีคนมาออกบูธมากขึ้น คิดว่ากัญชงกัญชาทางการแพทย์เป็นไปได้ด้วยดีแน่นอน ประเทศเราเหมาะกับการทำเศรษฐกิจด้านนี้ ทราบว่ามีการวิจัยพัฒนาในเรื่องกัญชงไปมาก รัฐบาลก็เห็นประโยชน์ด้านนี้ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสาธารณสุข เพราะกัญชงมีสาร CBD เยอะ เรามีศักยภาพเยอะมากที่จะเป็นศูนย์กลาง Hemp ของเอเชียหรือของโลกได้ต่อไป ซึ่งการจัดกิจกรรมเช่นนี้บ่อยครั้งจะช่วยเชื่อมโยงเครือข่ายส่งเสริมความเป็นฮับของเราได้ สอดรับกับเมดิคัล ฮับและเวลเนสฮับของประเทศไทย

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหรรมให้ความสำคัญกับกัญชง เพราะมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นพืชที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ทั้งเมล็ด ลำต้น เปลือก ใบ เอาเส้นใยไปใช้ทำงานได้ ทั้งอุตสาหกรรมสิ่งทอ พลาสติก หรือกระดาษ รัฐมนตรีพยายามผลักดันให้มี New S-Curve ประเทศ ควรจะต้องมีเกษตรแปรรูปที่แตกหน่อไปจากเดิมที่มี เราขายส่งออกข้าวสารมานานแล้ว ทศวรรษควรต้องเปลี่ยน มุ่งไปที่ไบโอพลาสติก ในทางอุตสาหกรรมมีประมาณ 6-7 สูตรแล้วที่จะสามารถทำให้ Composit Plastic จะแข็งแรงขึ้น เราเคยมีโครงการพัฒนาร่วมกับแบรนด์กระเป๋าก็พยายามเพิ่มมูลค่าให้เกษตรกร เชื่อว่าคุณประโยชน์และมูลค่าของกัญชงวันนี้ต้องขอบคุณผู้จัดที่ร่วมมือกัน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมก็จะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป เราเคยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมกัญชงไปข้างหน้า เราอยากดูสเกลปริมาณการปลูกการเก็บเกี่ยวเยอะขนาดไหน สำหรับกฎหมายเรื่องใยเราก็พร้อมผลักดันเต็มที่

ถามถึงแนวทางการส่งเสริมการส่งออกของอุตสาหกรรมกัญชง นายพงศ์พลกล่าวว่า แนวทางจะต้องเริ่มจากภายในประเทศก่อน ใช้ของให้รู้จักก่อน พอมีศักยภาพมากพอแล้ว ก็เริ่มที่จะมองการส่งออก ส่วนข้อกังวลเรื่องกฎหมายบางประเทศ เช่น จีน มีความเข้มมากไม่ให้นำเข้าเลย เราก็ให้ความสำคัญ เราขอดูก่อน วันนี้ไทยเราเป็นผู้นำแล้ว อย่างงานวันนี้ก็มีหลายประเทศมารวมตัว เรามีโอกาสเป็นผู้นำ เราต้องทำให้ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างในประเทศมากกว่านี้ ซึ่งเราอยากเป็นฮับของพืชทุกชนิดที่แปรรูปได้ อย่างสวิตเซอร์แลนด์และเบลเยียมปลูกโกโก้ไม่ได้ต้องนำเข้าแต่ทำไมพูดถึงช็อกโกแลตแล้วนึกถึงประเทศเหล่านี้ ซึ่งประเทศไทยเรามีศักยภาพจะพัฒนาไปได้ วันนี้กฎหมายเราเอื้อเรื่องกัญชงแล้ว หาขับเคลื่อนถูกทาง กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมเป็นปีกที่จะพาอุตสาหกรรมกัญชงไปข้างหน้าด้วย

"ส่วนการส่งเสริมเป็นเส้นใยของชาติ อาจจะต้องดูทีละก้าว เราอยากให้ไปข้างหน้าได้ แต่ขั้นแรกต้องดูความเป็นจริงด้วย ซึ่งโอกาสนั้นเยอะ อย่างกัญชงเป็นพืชที่ดูดซับคาร์บอนได้มาก การเอาวัสดุแต่ละอันเป็นเสริมในพลาสติกในกระดาษก็ช่วยลดขยะในสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ Bio Circular Economy เชื่อว่าเป้นแต้มต่อเหนืกว่าพืชอื่นที่เรามี ต่อ S-Curve ประเทศไทยทะยานไปข้างหน้าอีก อยากดูเรื่องสเกล การยอมรับและการใช้ในประเทศก่อน" นายพงศ์พลกล่าว

ด้าน นายพรชัย ปัทมินทร นายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันพืชกัญชงได้รับการพัฒนาให้สามารถนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น บริบทสำคัญที่ถูกกล่าวถึงในวงกว้างคือเป็นพืชลดการปล่อยคาร์บอนและเน้นดูดซับมากกว่าการปล่อย (Carbon Negative) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเส้นใยจากกัญชงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและกำลังเติบโตในเชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากเส้นใยมีคุณสมบัติพิเศษในด้านความแข็งแรง ทนทาน สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้จึงถูกนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น อาทิ ผ้า เสื้อผ้า วัสดุก่อสร้าง รวมถึงการนำมาใช้ทดแทนพลาสติกและไนลอน ส่งผลให้การขยายตัวของอุตสาหกรรมเส้นใยกัญชงในอนาคตช่วยลดปริมาณขยะที่ไม่ย่อยสลาย ลดการตัดไม้ทำลายป่า เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งนี้พืชกัญชง ถือเป็นพืชทางเลือกที่ต้องเร่งศึกษาและวิจัยนวัตกรรมมากขึ้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเส้นใยที่มีมูลค่ามหาศาล ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน ตอบโจทย์ความต้องการของโลกในยุคปัจจุบันและอนาคต

นอกจากนี้ การพัฒนาการใช้วัตถุดิบกัญชงในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ มีแนวโน้มการเติบโตตามเทรนด์ Health & Wellness โดยในปี 2567 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 48,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2570 หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 8.5% จากปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical tourism) ความนิยมผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติที่มีมากขึ้น อีกทั้งในทางการแพทย์ผลิตภัณฑ์จากกัญชงสามารถลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากโรค NCDs (non-communicable diseases) หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สร้างขึ้นเองจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน เป็นต้น

สมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย ร่วมมือกับพันธมิตรนานาชาติรวมทั้งหมด 12 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ปากีสถาน มองโกเลีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ยูเครน สิงคโปร์ และกลุ่มประเทศ EU จัดตั้ง ‘สมาพันธ์กัญชงนานาชาติเอเชีย’ (Asia International Hemp Federation - AIHF) ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมการค้าและพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบ และอุปสรรคทางการค้าในแต่ละประเทศ รวมถึงการจัดตั้งแพลตฟอร์มการค้าผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เพื่อเชื่อมโยงผู้ซื้อ ผู้ขาย นำไปสู่การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรมและผู้จัดจำหน่าย

ทั้งนี้ สมาพันธ์ฯได้วาง 4 พันธกิจในการดำเนินงาน ได้แก่ 1. ส่งเสริมความร่วมมือและการพัฒนาอุตสาหกรรม ด้วยการสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมระหว่างเกษตรกร ผู้แปรรูป นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบาย โดยมีการตั้งมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับการผลิตและคุณภาพของเฮมป์ในเอเชีย และร่วมส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมกัญชง 2. สร้างความเข้าใจและการยอมรับ ผ่านองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อลดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเฮมป์ และร่วมกันจัดแคมเปญการตระหนักรู้เพื่อเน้นประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจ 3. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและนโยบาย โดยสมาพันธ์จะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนเฮมป์ในการหารือเรื่องนโยบาย ด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์กับหน่วยงานรัฐบาลเพื่อพัฒนานโยบายที่เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรม รวมถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลในการกำหนดมาตรฐานการทดสอบ และความปลอดภัย รวมถึงขีดจำกัดของสารสกัด THC และ 4.ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนการเกษตรที่ยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้เฮมป์ในทุกด้านเพื่อลดปริมาณขยะ

ขณะที่มูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมกัญชงทั่วโลก และนับรวมกับกัญชงเพื่อสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยมีมูลค่าประมาณ 20,000 – 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 หรืออัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัสดุจากกัญชง (รวมพลาสติกชีวภาพและวัสดุก่อสร้าง) มีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีข้างหน้า สะท้อนถึงความต้องการวัสดุเพื่อความยั่งยืนและผู้บริโภคหันมาเลือกสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อีกทั้งได้ปัจจัยบวกจากการสนับสนุนของรัฐบาลหลายประเทศในการออกนโยบายสนับสนุนการปลูกและการใช้กัญชงเพื่ออุตสาหกรรมมากขึ้น สร้างแรงผลักดันที่สำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชงเพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูง นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคต

ปัจจุบันอุตสาหกรรมกัญชงเพื่อสิ่งแวดล้อมนานาประเทศกำลังขยายตัว และถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน อาทิ การใช้วัสดุทดแทนพลาสติก ด้วยการนำไปผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติในการผลิตบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนยานยนต์, อุตสาหกรรมแฟชั่น โดยใช้เส้นใยกัญชงในการผลิตผ้าและเสื้อผ้า ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในตลาดที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, วัสดุก่อสร้าง นำมาผลิตเป็นคอนกรีตกัญชง สนับสนุนวัสดุก่อสร้างที่ลดการปล่อยคาร์บอนและสร้างความยั่งยืน, เกษตรกรรมเพื่อความยั่งยืน โดยพืชกัญชงมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูดินและลดการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม ช่วยส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน

"มูลค่าตลาดของงานในปีนี้คาดว่าเกือบ 2 พันล้านที่จะมีการซื้อขายกัน มีผู้ประกอบการมาออกงาน 170 รายถือว่าเยอะมากมาจากหลายประเทศ มูลค่าการตลาดของประเทศไทยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 8 พันกว่าล้านบาท มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนต่างชาติมองประเทศไทยอย่างไร เรามีเครือข่ายชาติต่างๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน แคนาดา ออสเตรเลียมาร่วมงานมาเซ็นสัญญาเป็นสหพันธ์การพัฒนากัญชงของโลกระดับนานาชาติ วันนี้มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายที่ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเส้นใย ก่อสร้าง พลาสติก และสุขภาพ ต่อไปจะเห็นการผลิตยาจาก CBD ทำวิจัยที่เมืองไทยร่วมมือระหว่างภาคัรฐและเอกชน จดทะเบียน อย.เพื่อขายในต่างประเทศได้" นายพรชัยกล่าว

นายสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) เปิดเผยว่า การจัดงาน Asia International Hemp Expo 2024 งานประจำปีของอุตสาหกรรมกัญชงที่ครบครันที่สุดในงานเดียว โดยในปีนี้ได้วางแนวทางในการเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงนักลงทุน ผู้ประกอบการ และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมกัญชง สร้างโอกาสแก่กัญชงไทยและอุตสาหกรรมกัญชง ผ่านการจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกัญชงทั้ง 14 อุตสาหกรรม ตั้งแต่ต้นน้ำในกระบวนการปลูก จนถึงปลายน้ำที่นำเสนอเป็นผลิตภัณฑ์ สินค้า และนวัตกรรม โดยมีผู้จัดแสดงงานภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมงานกว่า 150 บริษัท ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 40 หน่วยงาน นอกจากนี้ได้เปิดเวทีสัมมนาประจำปีที่มีนักอุตสาหกรรมกัญชงจาก 40 ประเทศเข้าร่วมงาน เพื่อนำเสนอเทรนด์และแนวโน้มของอุตสาหกรรมกัญชงในปัจจุบันและอนาคต และสร้างพื้นที่เพื่อเจรจาในการมองหาโอกาสทางธุรกิจ

ขณะเดียวกันได้นำเสนอแนวคิดการจัดงาน ‘Hemp Inspires’ ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์กัญชงจากความร่วมมือของสมาคม Design and Object จัดแสดงผลงานเฟอร์นิเจอร์และสินค้าไลฟ์สไตล์ สำหรับกลุ่มนักออกแบบ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม กลุ่มธุรกิจคาร์บอนต่ำ และแฟชั่นโชว์ในช่วงพิธีเปิดงานด้วยคอลเลกชันเสื้อผ้าเส้นใยกัญชงของ Earthology Studio

“สำหรับงาน Asia International Hemp Expo 2024 ผมคาดว่าปีนี้ผู้เข้าชมงานจะอยู่ประมาณ 10,000 คน เม็ดเงินสะพัดจากการจัดงานราว 1,000 ล้านบาท สะท้อนว่าอุตสาหกรรมกัญชงยังคงได้รับความนิยมทั้งจากนักลงทุน ผู้ประกอบการ นักอุตสาหกรรมกัญชงทั้งจากในไทยและต่างประเทศ เชื่อว่างานจะเป็นเวทีและพื้นที่ในการสร้างโอกาสเพื่อก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมกัญชง สำหรับงานนี้จะมีการควบคุมผู้เข้าชมงาน โดยต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 27-30 พฤศจิกายน 2567 ณ Hall 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” นายสุรพล กล่าว

ที่มา : MgrOnline