ใต้เงาจีน ภาค 2 (15) อยู่ต้าหลี่คิดถึงน่านเจ้า
เผยแพร่ : 23 พ.ย. 2567 07:19:24
• คุณหวังจะพาไปล่องเรือที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ (洱海) ในเช้าวันรุ่งขึ้น
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
เช้าวันรุ่งขึ้นคุณหวังแจ้งว่าจะพาเราไปล่องเรือที่ ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ 洱海 , อันที่จริงพยางค์แรกอ่านว่า เอ่อร์ แต่ที่สะกดเช่นนั้นเป็นการผันวรรณยุกต์ตามหลักภาษาจีน) ผมซึ่งได้นอนหลับเต็มที่และหายจากอาการบาดเจ็บรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ ครั้นพอออกมานอกโรงแรมก็ปะทะเข้ากับอากาศที่แสนจะบริสุทธิ์ ความรู้สึกสดชื่นก็เพิ่มเข้ามาในความกระปรี้กระเปร่านั้น
เป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่ออกมาจากเครื่องบินที่สนามบินคุนหมิงตอนที่มาครั้งแรก ดังที่เคยเล่าไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น และพอขึ้นรถไปยังทะเลสาบก็พบว่า สองข้างทางที่เป็นบ้านเมืองของต้าหลี่นั้นช่างสงบงดงามยิ่งนัก นั่นคือ บ้านที่มีหลังคาสีเทาเข้มของกระเบื้องกับรูปทรงบ้านชั้นเดียวและสองชั้นสีขาว อันเป็นที่อยู่ของชนชาติไป๋ในต้าหลี่ โดยที่ตลอดทางที่รถแล่นไปจะเห็นชาวไป๋ในชุดประจำชนชาติตนเองอยู่เป็นระยะๆ
เหมือนกับได้หลุดเข้ามาในอีกดินแดนหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะไม่ปลอดภัย
ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกนึกคิดของผมได้หวนสู่อดีตเมื่อครั้งที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ในชั้นมัธยมต้น วิชานี้เริ่มต้นก็พูดถึงความเป็นมาของชนชาติไทย ว่าแต่เดิมคนไทยอยู่ อาณาจักรน่านเจ้า จากนั้นก็ถูกพวกมองโกลรุกรานขับไล่จนต้องอพยพลงมาทางใต้เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงแผ่นดินไทยในปัจจุบันจึงได้ตั้งหลักแหล่งถาวร และยืนหยัดอยู่ในที่แห่งนี้แบบ “เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว”
ตอนที่เรียนก็รู้สึกสนุกดี เพราะครูสอนได้สนุก แม้ท่านจะไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงปลุกเร้าให้รักชาติก็ตาม แต่เรื่องราวที่ท่านบรรยายก็ชวนให้รู้สึกอย่างนั้น จากความประทับใจเช่นนี้ทำให้พวกเราเชื่อสนิทว่าคนไทยมาจากอาณาจักรน่านเจ้าจริงๆ
ครับ อาณาจักรน่านเจ้าก็คือต้าหลี่ที่ผมกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศโดยรอบ แต่เป็นการดื่มด่ำโดยที่ความรู้เกี่ยวกับน่านเจ้าหรือต้าหลี่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งมัธยมต้นแล้ว เพราะหลังจากเติบโตจนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็ได้ความรู้ใหม่ว่า คนไทยไม่เคยอยู่ที่น่านเจ้า คนไทยก็อยู่ที่ประเทศไทยนี้แหละ และอยู่ร่วมกับชนชาติที่พูดภาษาตระกูลไทมาช้านาน
ตอนนั้นเรารู้เพียงว่า คนที่บอกว่าคนไทยมาจากน่านเจ้านอกจากจะ “นั่งเทียน” เขียนแล้วก็ยังมาจากความต้องการปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยมให้กับคนไทยในทำนองว่า คนไทยถูกรุกรานมาโดยตลอด แต่นี้ไปคนไทยจะไม่ยอมให้ใครมารุกรานอีกแล้ว แถมตอนที่เขียนออกมาเช่นนั้นก็มิได้บอกด้วยว่า แล้วคนที่น่านเจ้ามีวิถีชีวิตอย่างไร เหมือนหรือต่างกับคนไทยอย่างไรบ้าง บอกแค่ว่าคนไทยมาจากน่านเจ้าก็จบ
พวกเรานักเรียนก็เชื่ออย่างนั้นเรื่อยมา จนพอมารู้ใหม่และรู้ว่าคนที่ (นั่งเทียน) เขียนเขียนด้วยเหตุใดแล้วก็รู้สึกเซ็งมาก จนอีกนับสิบปีต่อมาผมซึ่งเป็นนักวิชาการด้านจีนศึกษาแล้ว และได้รู้จักกับนักวิชาการจีนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ข้อมูลที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ว่าคนจีนเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับน่านเจ้า และเขาก็รู้ด้วยว่า ในสมัยหนึ่งคนไทยเคยเชื่อว่าตัวเองมาจากน่านเจ้า
นักวิชาการจีนท่านหนึ่งที่มีผลงานศึกษาเกี่ยวกับความเป็นของชนชาติไทยก็คือ เฉินหลี่ว์ฟั่น ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของจีน ตอนที่ผมไปทำงานวิจัยที่คุนหมิงเมื่อปี 2001 และ 2002 (2546 และ 2547) นั้น ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับท่านหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านพูดถึงชนชาติไทยกับน่านเจ้าว่า ถ้าคนไทยมาจากน่านเจ้าจริงแล้ว ก็น่าจะมีร่องรอยของภาษาไทยเหลือตกทอดที่น่านเจ้าบ้างสักคำสองคำ
แต่นี่ไม่มีแม้แต่คำเดียว แล้วจะมาบอกว่าคนไทยมาจากน่านเจ้าได้อย่างไร
สรุปแล้วต้าหลี่หรือน่านเจ้าในอดีตไม่มีอะไรเกี่ยวกับคนไทย แต่พอคิดขึ้นมาทีไรก็ให้นึกขำระคนหงุดหงิดที่ไปหลงเชื่อผิดๆ มาช้านาน ยิ่งมาได้เห็นด้วยตา ณ ขณะนั้นก็ยิ่งตอกย้ำว่า เจ้าของพื้นที่เดิมที่เป็นชนชาติไป๋นั้น มีวัฒนธรรมเฉพาะตนที่แตกต่างจากชนชาติจีนอย่างมาก กับชนชาติไทยด้วยแล้วก็ยิ่งแตกต่างหนักเข้าไปอีก คือแตกต่างแบบคนละพ่อคนละแม่กันเลยทีเดียว
คิดถึงความหลังเพลินๆ มารู้ตัวอีกทีรถก็พาเรามาถึงท่าเรือแล้ว พวกเราจึงพากันลงเรือเพื่อล่องทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ เรือที่เราโดยสารจุนักท่องเที่ยวได้นับร้อยชีวิต นอกจากเราคนไทยสองคนแล้วที่เหลือนอกนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงและชาวสิงคโปร์
หลังจากเรือแล่นออกจากท่าไม่นาน ไกด์ของนักท่องเที่ยวฮ่องกงและสิงคโปร์ได้หากิจกรรมลูกทัวร์ของตนได้เล่นกัน ผมซึ่งรู้สึกเฉยๆ และไม่มีอารมณ์ร่วมกับกิจกรรมจึงออกมาที่กาบเรือเพื่อดูทิวทัศน์รอบทะเลสาบ ดูๆ ไปก็ก้มลงดูน้ำก็พบว่า น้ำในทะเลสาบช่างใสราวกับกระจกอะไรเช่นนี้ ไม่เหมือนกับทะเลสาบสงขลาที่เป็นทะเลสาบเปิดน้ำจึงขุ่น
และไกลออกไปจากเรือไม่กี่สิบเมตรก็มีเรือของชาวบ้านจอดอยู่ ผมเห็นชายหนุ่มที่อยู่บนเรือลำนั้นเปลือยกายเหลือแต่ชุดชั้นในตัวเดียว จู่ๆ เขาก็ร้องตะโกนลั่นให้กับความหนาวเหน็บของอากาศคล้ายกับจะบอกว่า หนาวสะใจอะไรเช่นนี้ ว่าแล้วก็กระโดดลงน้ำไปท้าทายความหนาวเย็น เห็นแล้วก็ให้นึกชมในใจว่าสุขภาพช่างดีแท้
และทำให้คิดถึงประธานเหมาเจ๋อตงขึ้นมา ว่าเมื่อครั้งที่ยังหนุ่มท่านเองก็ชอบว่ายน้ำเย็นๆ แบบนั้นเหมือนกัน จนอีกหลายปีต่อมาผมจึงรู้ว่า มีคนจีนจำนวนไม่น้อยที่ชอบว่ายน้ำเย็นเพื่อพิสูจน์ความแข็งแรงของร่างกายเป็นปกติ
แต่ในอีกสิบกว่าปีต่อมาหลังการล่องเรือครั้งนั้น ผมได้กลับมาล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้อีกครั้งซึ่งชวนให้ผิดหวังอย่างยิ่ง เพราะตอนนั้นน้ำในทะเลสาบไม่ใสเหมือนเดิม คือน้ำจะขุ่นกว่าเดิม แต่ก็ยังทำให้เห็น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (blue-green algae) พลิ้วไหวตามแรงกระเพื่อมของน้ำ สาหร่ายนี้เกิดขึ้นจากกากของเสียที่ปล่อยโดยโรงงานอุตสาหกรรมและการทำเกษตร ที่เหลือนอกนั้นคือการทิ้งขยะของร้านค้าร้านอาหารของคนในท้องถิ่นเอง
พูดง่ายๆ ก็คือ ทะเลสาบที่เคยใสสะอาดจนมนุษย์สามารถลงไปว่ายน้ำเล่นได้ มาบัดนี้กลับเจือปนด้วยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสิ่งที่มีชีวิต จากเหตุนี้ ปลาในน้ำหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จึงตายหมด ปลาที่เคยถูกนำมาบริโภคจึงหายไป ผมยังโชคดีที่ตอนนั้นได้ลิ้มรสปลาจากทะเลสาบนี้ในขณะยังอุดมสมบูรณ์
ทั้งหมดนี้คือผลพวงแห่งการพัฒนาที่บ้าคลั่งจนขาดความยั้งคิด คิดแต่เพียงว่า อะไรก็ได้หากทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจของท้องถิ่นดูดีแล้ว ก็จะได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลท้องถิ่นทันที การพัฒนาที่ไร้ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมจึงเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดรอบๆ ทะเลสาบ แล้วของเสียก็ถูกปล่อยลงทะเลสาบ การพัฒนาเช่นนี้เกิดขึ้นแทบทุกที่ในจีนขณะนั้น
และแล้วการพัฒนาอย่างบ้าคลั่งที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจดูดีก็เป็นได้แค่ชั่วคราว เพราะหลังจากที่ผ่านไปไม่กี่ปี น้ำในทะเลาสาบก็เน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว กว่าจะรู้ตัวจนต้องสั่งปิดโรงงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้องทุกอย่างก็สายเกินแก้เสียแล้ว เพราะเมื่อต้องมาฟื้นฟูชีวิตให้กับทะเลสาบอีกครั้งหนึ่งก็ทำให้พบว่า งบประมาณที่ใช้นั้นสูงกว่ากำไรที่ได้จากการพัฒนาที่บ้าคลั่งเสียอีก จนเรียกได้ว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”
ที่สำคัญ ไม่ว่าจะทุ่มงบประมาณฟื้นฟูอย่างไรก็ยากที่ให้ชีวิตของทะเลสาบกลับคืนมาเหมือนเดิมได้อีก คิดแล้วก็ให้รู้สึกเสียดายแทนจีนอย่างมาก เพราะก่อนที่จีนจะพัฒนาอย่างบ้าคลั่งนั้น โลกของเราก็มีบทเรียนของการพัฒนาอย่างบ้าคลั่งอยู่มากมายให้ศึกษา แต่จีนกลับไม่ศึกษา ผู้ประกอบการชาวจีนในตอนนั้นต่างก็ถูกความโลภมาบังตา ทำให้เห็นแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า และมืดบอดกับผลประโยชน์ระยะยาวที่ยั่งยืน
พูดไปทำไมมี ก็เหมือนกับประเทศไทยนั่นแหละครับ
ที่มา : MgrOnline