"ทนายวิฑูรย์" แจงปมคลิปเสียงไม่ใช่ข่มขู่ใคร เตรียมฟ้องกลับคนอ้างเป็นผู้เสียหาย

เผยแพร่ : 22 พ.ย. 2567 18:39:04
X
• ทนายวิฑูรย์ อธิบายคลิปเสียงกลุ่ม "ดิไอคอน" ว่าไม่ใช่การข่มขู่ แต่เป็นการส่งสารให้ผู้เสียหายกลับใจ
• "เอก สายไหม" ถูกจับตามคาด

MGR Online - ทนายวิฑูรย์ เยี่ยม “บอสพอล“ หารือคดี แจงคลิปเสียงกลุ่ม "ดิไอคอน" ไม่ใช่การข่มขู่ แต่ส่งสารถึงคนอ้างเป็นผู้เสียหายให้กลับใจ ส่วน "เอก สายไหม" ถูกจับตามคาด

วันนี้ (22 พ.ย.) เวลา 16.00 น. บริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ได้เดินทางเข้ามาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อเข้าเยี่ยมบอสพอล และพวก เพื่อมาพูดคุยแนวทางในการสู้คดีในอนาคต ว่าจะมีการปรับรูปแบบแนวทางยังไงกันบ้าง ก่อนจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้คุยกันไม่นานมาก เนื่องจากว่ามีคนเข้าเยี่ยมหลายคน โดยการพูดคุยเพียงแค่ 3-4 ท่านเท่านั้น

นายวิฑูรย์ กล่าวว่า แนวทางในตอนนี้ตั้งใจว่าจะพาพยานที่เคยแจ้งความกับบริษัทดิไอคอนที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง ไปพบดีเอสไอในฐานะพยานเพื่อไปยื่นคำร้องในการให้การใหม่อีกครั้ง โดยตั้งใจจะเริ่มในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้ ซึ่งเท่าที่ตนเองคาดการณ์เอาไว้ก็คือจะพาไปวันละ 200 คน

นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ได้มีการพาผู้เสียหาย จำนวน 89 ราย ทำทีเป็นผู้เสียหายเพื่อไปขอเงินค่าเยียวยา ที่ทางบริษัท ดิไอคอน เคยนำเงินจ่ายให้จำนวน 8.9 ล้านบาท ซึ่งคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้เสียหายในจำนวนนี้ ตามหลักฐานที่ได้มีการโอนเงินจ่าย มีการตัวเลขเหลือ 75 คน ในแต่ละคนได้มีการจ่ายเงินในเรทต่างๆ ตั้งแต่ 50,000 ถึง 150,000 บาท

"สำหรับ 75 คนในตอนนี้ ทางทีมทนายความได้มีการกันเอาไว้ 6 คน เป็นพยานในฐานะที่เป็นบุคคลได้มีการเบิกของออกไปจากบริษัทแต่ยังมีสินค้าบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ แต่ในจำนวน 69 คนที่เหลือ ได้มีการเบิกสินค้าจากบริษัทไปหมดแล้ว อีกทั้งได้มีการนำสินค้าไปจำหน่าย รวมถึงบริโภคเอง แต่กลับมีการเข้ามามั่วนิ่มในลักษณะเข้ามาขอเงิน ทำตัวเป็นผู้เสียหาย ซึ่งคนกลุ่มนี้ทางทีมทนายความได้มีการเตรียมแจ้งข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์ หรือร่วมกันฉ้อโกง พร้อมกับ น.ส.กฤษอนงค์"

นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีการข่มขู่อีกด้วยว่าจะมีการพาผู้เสียหายไปร้องกับ สคบ. แล้วจะพานักข่าวเข้ามาทำข่าว และ น.ส.กฤษอนงค์ ยังอ้างอีกว่าเคยนำเงินไปให้กับดีเอสไอจำนวน 10 ล้านบาท จึงทำให้บอสพอล หวาดกลัวจึงยอมจ่ายเพื่อให้จบกันไป ส่วนประเด็นคลิปเสียงเป็นคลิปที่เกิดขึ้นเมื่อคืน (17 พ.ย.) ที่ได้พูดคุยกับผู้จำหน่ายสินค้าของดิไอคอน ที่อยู่ในกลุ่ม “ครอบครัวดิไอคอน” เป็นการพูดคุยบันทึกที่จะส่งให้กับดีเอสไอ โดยส่วนตัวทราบว่าในกลุ่มมีหนอนบ่อนไส้อยู่จึงได้มีการส่งสารไปหาโดยตรง จะได้รู้ว่าในกลุ่ม 10,000 คน มีผู้เสียหายจริงเท่าไหร่ หากพบว่าคนในกลุ่มที่ได้มีการเบิกสินค้าไปแล้วจำหน่ายสินค้าไปแล้ว แต่มาแจ้งความอ้างตัวเป็นผู้เสียหาย ก็จะมีการแจ้งความกลับในข้อหาแจ้งความเท็จ

นายวิฑูรย์ กล่าวเสริมว่า สำหรับในการพูดคุยที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่ามีลักษณะเป็นการพูดคุยกันในลักษณะข่มขู่ ประเด็นนี้ขอชี้แจงว่า ที่ในคลิปเสียงตนบอกว่าจะขู่ดำเนินคดี ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีความผิดทางกฎหมาย เพราะไม่ได้ขู่ที่จะทำร้ายใคร ส่วนจะอ้างว่าหวาดกลัวนั้นถ้าหากว่าไม่ผิดจริงจะกลัวเรื่องการดำเนินคดีทำไม ซึ่งยืนยันเป็นการใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย

เมื่อถามว่ามีการยกตัวอย่างไปหาบุคคลที่สามที่ถูกดำเนินคดี และกำลังจะถูกดำเนินคดี แล้วทำให้เกิดความหวาดผวากับสมาชิกจนทำให้บางคนต้องกลับใจไปถอนแจ้งความ ถือว่าเป็นการวางแผนทีมทนายในการต่อสู้คดีหรือไม่ นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ขอชี้แจงว่าต้องการให้เกิดความเป็นธรรม ไม่อยากให้เป็นการใส่ร้ายใคร เพราะการที่บอสของดิไอคอนถูกจับกุมก็ไม่ได้ถือว่ามีการกระทำความผิด หรือบริษัทมีการฉ้อโกง เนื่องจากศาลยังไม่ได้มีการตัดสิน ซึ่งคนกลุ่มนี้ตนเองไม่ได้ระบุเส้นตายว่าต้องออกมาวันไหน แต่ทางดีเอสไอได้มีการกำหนดเวลาจนถึงแค่วันที่ 3 ธ.ค.เท่านั้น

ส่วนประเด็น นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ "เอก สายไหมต้องรอด" ที่ถูกออกหมายจับในวันนี้ ตนเองเพิ่งทราบเรื่องจากสื่อมวลชน ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจเพราะเป็นไปพยากรณ์เอาไว้ ที่พยากรณ์แม่นเพราะถือว่าเป็นไปตามประสบการณ์ เนื่องจากว่า "เอก สายไหมต้องรอด" มีพฤติกรรมทำให้คดีธรรมดาๆ เป็นคดีที่มีการโยงว่าจ่ายเงินให้หน่วยงานราชการ โยนไปถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จนตอนนั้นบริษัทดิไอคอนกลายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายเงินให้หน่วยงานต่างๆ อีกทั้งยังมีการเชื่อมโยงไปถึงจีนสีเทาด้วย

หลังจากนี้ ได้มีการปรึกษากับทางบอสไอคอนแล้วว่าจะมีการแจ้งความดำเนินคดีฐานความผิดหมิ่นประมาทกับ "เอก สายไหมต้องรอด" รวมถึงจะเรียกร้องค่าเสียหาย เป็นจำนวนเงินหลัก 100 ล้านบาท แต่จะได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนหรือไม่ ก็มองว่าเป็นสิทธิ์ทางกฎหมาย ตนเองก็ยินดีด้วย แต่ลูกความตนเองไม่เคยได้รับโอกาสนี้เลย

ที่มา : MgrOnline