สุดซอย “สนธิ-ปานเทพ” ยื่นสภาทนายสอบ “ทนายตั้ม-จุ๊กกรู” จั้งซี้ มันต้องถอน!? ** “ก่อแก้ว พิกุลทอง” จากไพร่แดง สู่สส. วันนี้รวยอู้ฟู่ 263 ล้าน
เผยแพร่ : 22 พ.ย. 2567 07:23:57
• ก่อแก้ว พิกุลทอง อดีตแกนนำกลุ่มไพร่แดง ปัจจุบันเป็น ส.ส. มีทรัพย์สิน 263 ล้านบาท
ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ สุดซอย “สนธิ-ปานเทพ” ยื่นสภาทนายสอบ “ทนายตั้ม-จุ๊กกรู” จั้งซี้ มันต้องถอน!?
ตามวาจาที่ลั่น เมื่อเดินเข้าซอยมาแล้ว ก็ต้องไปให้สุดซอย
“สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ดำเนินรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” พร้อมด้วย “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอให้ดำเนินการตรวจสอบมรรยาททนายความของ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด และ “ทนายจุ๊กกรู” เดชา กิตติวิทยานันท์ โดยมี “สุชาติ ชมกุล” อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ สภาทนายความเป็นผู้รับเรื่อง จากนั้นเข้าหารือกับ “คณิต วัลยะเพ็ชร์” ประธานกรรมการมรรยาททนายความ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องดังกล่าว
แน่นอนว่า “สนธิและปานเทพ” ได้รับมอบอำนาจจาก “พี่อ้อย” จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีนีชาวปากช่อง ที่ไปอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส อดีตผู้ว่าจ้างทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมายแล้วถูกเล่ห์เหลี่ยมษิทรา “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ”
ดังนั้น จึงมายื่นข้อกล่าวหา “ทนายตั้ม” ว่า ผิดจรรยาบรรณ และไร้จริยธรรมหลายข้อ ขอให้คณะกรรมการมรรยาทของสภาทนายความฯ พิจารณาดำเนินการจัดการเท่าที่เห็นสมควรว่าจะพักใบอนุญาตทนาย หรือถอดถอนใบอนุญาตทนายความ
เรียกว่า กรณี “ทนายตั้ม”ที่ได้กระทำกับ “พี่อ้อย” นั้น ไม่ใช่แค่การฟอกเงิน หรือการฉ้อโกงอย่างเดียว แต่เป็นขบวนการของคนที่รู้กฎหมาย และใช้ความรู้ทางกฎหมายมาเอาเปรียบคนที่ไม่รู้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพี่อ้อยที่เป็นคนต่างจังหวัด ไปอาศัยอยู่เยอรมนีตั้งแต่อายุ 21 ปี เมื่อคิดอยากจะหาที่ปรึกษากฎหมายก็ไปเจอทนายตั้มในเฟซบุ๊กที่สร้างโปรโฟล์ให้ดูดี ทั้งที่คุณภาพการทำงานไม่เหมือนกับการประโคมโอ่ ถือเป็นการหลอกลวงประชาชนให้มาหลงเชื่อ
“สนธิ” ยังเปิดเผยด้วยว่า เหตุผลที่ต้องออกมาเพราะความยิ่งใหญ่ของ “ทนายตั้ม” เป็นอะไรบางอย่างที่คนไม่กล้าเข้าไปแตะ แต่สำหรับตนแล้วจะใหญ่แค่ไหน ถ้าความอยุติธรรมเกิดขึ้นก็ไม่รีรอที่จะทำเรื่องนั้น ซึ่งพี่อ้อยมอบอำนาจให้ดำเนินการเด็ดขาดในทางคดีก็จะไปให้ถึงที่สุด ซึ่งขบวนการของษิทรา นอกจากร่วมกันฉ้อโกง อาจจะต้องโดนข้อหาอั้งยี่ และซ่องโจร ด้วย ซึ่งมีอายุความ 10 ปี และยอมความไม่ได้
ยืนยันตรงนี้ว่าไม่มีการเจรจา จะดำเนินคดีให้ “สุดซอย” ถ้าซอยตันก็จะทะลุซอย ทุบกำแพงออกไป และเดินหน้าต่อไป เพราะเรื่องพี่อ้อย เป็นเรื่องขบวนการที่สร้างมาจากคนที่ฉลาดเรื่องกฎหมาย สร้างเรื่องสร้างราว สร้างเอกสารเท็จ เพื่อเตรียมตัวที่จะสู้คดี เพราะทนายตั้ม ย่อมรู้อยู่แล้วว่าถ้าโดนฟ้องเมื่อไหร่ต้องสู้คดีอย่างไรบ้าง
นอกจากยื่นเรื่องร้องเรียนสภาทนายความแล้ว “สนธิ” จะเดินหน้าไปกรมสรรพากรอีกซอย โดยเดือนหน้าธันวาคมนี้ จะไปยื่นเรื่องร้องเรียนในส่วนคดีเงิน 71 ล้านบาทที่ “ษิทธา” ได้ไปนั้น เสียภาษีถูกต้องหรือไม่ เพราะมาถึงตรงนี้ไม่ใช่เงินที่ให้โดยเสน่หา แต่ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี และจะร้องเรียนว่า ค่าจ้างเดือนละ 300,000 บาท ที่พี่อ้อยจ่ายให้ษิทรา โดยเข้าบัญชี “พี่สาวภรรยา” ของทนายตั้ม รวมทั้งหมดเป็นเงิน 3.6 ล้านบาท ได้เสียภาษีด้วยหรือไม่ ถ้าไม่ได้เสียภาษี ก็ควรจ่ายภาษี และจ่ายค่าปรับ เชื่อว่าไม่ใช่มีเงินแค่เงินเดือนละ 300,000 บาทนี้เท่านั้น ที่เข้าบัญชีพี่สาวภรรยาของทนายตั้มน่ามีมากกว่านี้อีก
พร้อมทั้งในส่วนของ “สนธิ” เองมายื่นข้อกล่าวหา “ทนายเดชา” ว่า ทำผิดจรรยาบรรณ มรรยาททนายความ โดยกล่าวหาแบบไม่มีหลักฐานว่าฉ้อโกง โกงเงินธนาคาร กล่าวหาว่าไปตบทรัพย์
“ทนายจุ๊กกรู” พูดอย่างสนุกปาก แต่ลืมไปว่าตัวเองเป็นทนายความ จะมากล่าวหาคนแบบนี้ไม่ได้
เพราะฉะนั้น จึงยื่นเรื่องให้สภาทนายความ หาก “ทนายเดชา” ผิดก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งมีหลักฐานหมด ไม่ว่าจะโพสต์หรือคอมเมนต์ ที่ทนายเดชา เขียนในเพจเฟซบุ๊ก
ทั้ง “ทนายตั้ม” และ “ทนายเดชา” จะถูกพิจารณาจากสภาทนายความอย่างไร ฟังว่า ตามขั้นตอนจากนี้อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ สภาทนายความ จะนำเรื่องส่งให้ประธานกรรมการมรรยาททนายความตรวจสอบเอกสาร ส่วนจะรับเป็นคำกล่าวหา หรือไม่ ประธานฯ ก็จะส่งมอบให้รองประธานฯพิจารณา ว่าจะรับคำกล่าวหาไว้หรือไม่ ถ้ารับแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการตั้งคณะกรรมการสอบสวน
จากนั้นจะส่งคำกล่าวหาไปผู้ถูกกล่าวหาว่าแก้คำกล่าว เพื่อให้การสอบสวนรวดเร็วขึ้น โดยเราจะพยายามเร่งให้คดีมารยาทมีความรวดเร็วขึ้น
ทั้ง “ทนายตั้ม” และ “ทนายเดชา” จะถูกพิจารณาจากสภาทนายความอย่างไร หรือความผิดเช่นนี้ จั๋งซี้ มันต้องถอนๆๆ ? ต้องโปรดติดตาม
++ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” จากไพร่แดง สู่สส. วันนี้รวยอู้ฟู่ 263 ล้าน
“ก่อแก้ว พิกุลทอง” เป็นคนเก่าคนแก่ ของพรรคเพื่อไทย เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นพรรคไทยรักไทย
การเลือกตั้งครั้งล่าสุด “ก่อแก้ว” ได้เป็นผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 36
หลังจาก “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” รมว.วัฒนธรรม ลาออกจากการเป็น สส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคเพื่อไทย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คนที่ได้เลื่อนขึ้นมาเป็น สส.แทนก็คือ “ก่อแก้ว”
ในรายการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้เผยแพร่ เมื่อวันที่ 21 พ.ย.67 ปรากฏว่า มีเสียงฮือฮากันอย่างมาก เมื่อรู้ว่า “ก่อแก้ว” นั้นร่ำรวย ทีทรัพย์สินถึง 263 ล้านบาท
“ก่อแก้ว” แจ้งต่อ ป.ป.ช. ว่าส่วนตัว มีทรัพย์สิน 153,086,330 บาท เป็นเงินสด 1 ล้านบาท เงินฝาก 30,176,239 บาท เงินลงทุน 61,848,290 บาท เงินให้กู้ยืม (ปกปิดชื่อผู้กู้) 1.5 ล้านบาท ที่ดิน 20 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 36.5 ล้านบาท ยานพาหนะ 6 แสนบาท สิทธิและสัมปทาน 892,800 บาท ทรัพย์สินอื่น 569,000 บาท มีหนี้สิน 51,227 บาท
มีรายได้ต่อปีประมาณ 8,662,720 บาท ในจำนวนนี้มาจากการปันผลธุรกิจ 7 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 2,610,000 บาท
ส่วน “กุลรัตน์ ลลิตโรจน์วงศ์” ที่อยู่กินกันฉันสามีภริยา มีทรัพย์สิน109,628,546 บาท เป็นเงินสด 531,354 บาท เงินฝาก 5,425,716 บาท เงินลงทุน 2,326,997 บาท เงินให้กู้ยืม 5,750,000 บาท ที่ดิน 56 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 11 ล้านบาท ยานพาหนะ 3.6 ล้านบาท สิทธิและสัมปทาน 3,274,478 บาท ทรัพย์สินอื่น 21,720,000 บาท มีหนี้สิน 94,315 บาท
มีรายได้รวมต่อปีโดยประมาณ 4.2 แสนบาท มาจากปันผลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3 แสนบาท ให้เช่าที่ดิน 1.2 แสนบาท รายจ่ายรวม 275,000 บาท ส่วนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 418,949 บาท รวมทั้งหมดมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 263,133,827 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 145,542 บาท
ทรัพย์สินที่น่าสนใจ “ก่อแก้ว” ถือครองหุ้นในบริษัท นิวสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ธุรกิจบริการรับเหมาก่อสร้าง ได้มาปี 2536 จำนวน 49,417,982 บาท ส่วน “กุลรัตน์” คู่สมรส ถือครองหุ้นในบริษัท กู๊ด เนเบอร์ส ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ได้มาปี 2564 จำนวน 2,152,315 บาท ดำเนินธุรกิจปลูก ค้นคว้า วิจัย ปรับปรุงพันธุ์พืชกัญชง และทำโรงสกัด เพื่อนำพืชกัญชงมาสกัด เพื่อศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสารสกัดซีบีดี (CBD) โดยบริษัทแห่งนี้มี บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ของคนตระกูลอิสสระถือหุ้นใหญ่
นอกจากนี้ มี หลวงพ่อทวดพระห้อยคอ 1 องค์ มูลค่า 300,000 บาท ปืน smith .38 และปืน smith 9มม. รวม2กระบอกมูลค่า 146,000 บาท กระเป๋าแบรนด์เนม 29 รายการ นาฬิกาหรู ทั้ง Patek Philippe , Rolex, Frank Muller,Chopard รวม 9 รายการ ทองคำแท่ง 55 บาท มูลค่า 2.2 ล้าน ทองรูปพรรณ 28 บาท มูลค่า 1.12 ล้านบาท แหวนเพชร 3 กะรัตกว่า มูลค่า 3 ล้านบาท ชุดสร้อยต่างหูเพชรเครื่องประดับอัญมณี กำไล แหวน รวม 7 รายการมูลค่า 2.8 ล้านบาท
“ก่อแก้ว”เป็นคน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เกิดเมื่อ 27 มี.ค. 2508 เป็นเด็กเรียนเก่ง จบม.ปลาย จากโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย จบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (เกียรตินิยม) และ จบปริญญาโท ด้านการบริหารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ จาก ม.กรุงเทพ (เกียรตินิยม)
เข้าสู่วงการการเมืองด้วยการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการพรรค
ได้ลงสมัคร สส.ครั้งแรกเมื่อปี 2553 เป็นการเลือกตั้งซ่อม สส.กรุงเทพฯ เนื่องจาก “ทิวา เงินยวง” จากพรรคประชาธิปัตย์ เสียชีวิต แต่แพ้ให้กับ “พนิช วิกิตเศรษฐ์” จากพรรคประชาธิปัตย์
ในการเลือกตั้งปี 2554 “ก่อแก้ว” ได้เป็นผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 54 และได้เป็น ส.ส.
เลือกตั้งปี 2557 เขาได้ลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 47 แต่มีการล้มการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ปี 2566 เขาได้ลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 36 และได้เลื่อนขึ้นมาเป็นสส. เมื่อ “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” ลาออก
บทบาทการเป็นสส. ของ “ก่อแก้ว” ไม่ได้โดดเด่น เท่ากับตอนที่เคลื่อนไหวในฐานะ หนึ่งในแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ “กลุ่มเสื้อแดง” ที่ออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีคู่หู “ตู่-เต้น” เป็นตัวชูโรง ซึ่งช่วงนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงจะเรียกตัวเองว่า “ไพร่”
เมื่อ “ไพร่” อย่าง “ก่อแก้ว” ที่คลุกคลีอยู่กับม็อบในวันนั้น เปิดบัญชีทรัพย์สินในฐานะส.ส.วันนี้ ปรากฏว่ารวยอู้ฟู่ถึง 263 ล้าน จึงเป็นเรื่องที่ฮือฮากันมาก
ที่มา : MgrOnline