สหประชาชาติระบุผู้พลัดถิ่นกว่า 3.4 ล้านคนในพม่า เกือบ 40% เป็นเด็ก
เผยแพร่ : 21 พ.ย. 2567 22:35:44
• เกือบ 40% ของผู้พลัดถิ่นเป็นเด็ก
• UNICEF รายงานข้อมูลดังกล่าว
เอเอฟพี - กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ระบุว่าผู้พลัดถิ่นมากกว่า 3.4 ล้านคนในพม่าเนื่องจากสงครามกลางเมืองและสภาพอากาศเลวร้ายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกือบ 40% เป็นเด็ก
พม่าอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายนับตั้งแต่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอองซานซูจีในการรัฐประหารปี 2564 และดำเนินการปราบปรามอย่างรุนแรงที่ก่อให้เกิดการลุกฮือด้วยอาวุธต่อการปกครองของรัฐบาลทหาร
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ยังได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นยางิในเดือน ก.ย. ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 400 คน และทำให้อีกหลายแสนคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตนเอง
“วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพม่ากำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นและสภาพอากาศแปรปรวนทำให้เด็กและครอบครัวตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” เท็ด ไชบัน รองผู้อำนวยการบริหารฝ่ายกิจกรรมด้านมนุษยธรรมของ UNICEF ระบุในคำแถลง
“ประชาชนกว่า 3.4 ล้านคน กลายเป็นผู้พลัดถิ่นทั่วประเทศ โดยเกือบ 40% เป็นเด็ก” เท็ด ไชบัน ระบุ
รัฐบาลทหารกำลังต่อสู้กับการต่อต้านการรัฐประหารด้วยอาวุธอย่างกว้างขวาง และทหารถูกกล่าวหาว่ากระทำเหตุทารุณกรรมและใช้การโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ลงโทษชุมชนพลเรือน
การสู้รบ รวมถึงเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้าย เช่น ไต้ฝุ่นยางิ ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเด็ก ทำให้พวกเขาต้องอพยพย้ายถิ่น เสี่ยงต่อความรุนแรง และถูกตัดขาดจากการรักษาพยาบาลและการศึกษา
นอกจากนี้ ไชบันยังระบุว่ามีเด็ก 7 คน และพลเรือนอีก 2 คน ถูกสังหารในวันที่ 15 พ.ย. จากการโจมตีพื้นที่บริเวณโบสถ์แห่งหนึ่งในรัฐกะฉิ่น ที่เด็กๆ กำลังเล่นฟุตบอล
รัฐกะฉิ่นเป็นบ้านเกิดของกองทัพเอกราชกะฉิ่น (KIA) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่ยึดครองดินแดนทางเหนือและกำลังต่อสู้กับรัฐบาลทหาร
เด็กอย่างน้อย 650 คน เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรงในประเทศในปีนี้ นอกจากนี้ เด็กยังคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของพลเรือนมากกว่า 1,000 คนที่บาดเจ็บล้มตายจากทุ่นระเบิดหรือเศษซากระเบิดจากสงคราม
“การใช้อาวุธที่เป็นอันตรายถึงชีวิตมากขึ้นในพื้นที่พลเรือน รวมทั้งการโจมตีทางอากาศและทุ่นระเบิดถล่มบ้านเรือน โรงพยาบาล และโรงเรียน ทำให้พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีอยู่อย่างจำกัดอยู่แล้วลดน้อยลงไปอีก ส่งผลให้เด็กสูญเสียสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัย” เท็ด ไชบัน ระบุ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 11 คน จากการโจมตีทางอากาศของกองทัพที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเมืองหนองเขียว ทางตอนเหนือของรัฐชาน กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ท้องถิ่นระบุ.
ที่มา : MgrOnline