“แม้ว” จ้อเวทีฟอร์บส์ แชร์ประสบการณ์ธุรกิจ-การเมือง 25 ปี ประกาศขออยู่บนดินไม่เอาแล้วตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ ชู “อิ๊งค์” คือทักษิณเวอร์ชัน 2

เผยแพร่ : 21 พ.ย. 2567 22:21:03
X
• เป็นการเปิดประสบการณ์ 25 ปี ในฐานะนักธุรกิจและนักการเมือง
• ทักษิณ ประกาศว่าจะใช้ชีวิตอยู่บนโลก ไม่สนใจเรื่องสวรรค์หรือ นรก อีกต่อไป

“ทักษิณ​” ร่วมดินเนอร์ทอล์กนิตยสารฟอร์บส์​ เปิดประสบการณ์​ นักธุรกิจ-นักการเมือง​ 25 ปี​ ประกาศ​ ขออยู่บนดิน​ ไม่เอาแล้วตกนรก-ขึ้นสวรรค์​ ชี้​ “แพทองธาร​“ คือ ทักษิณเวอร์ชัน 2​ ไม่ตื่นเต้นศาล รธน.เคาะรับไม่รับคำร้องล้มล้างการปกครองพรุ่งนี้ แค่รอฟัง แต่ชีวิต​ต้องก้าวไปข้างหน้า​ ไม่ขอย้อนอดีต​

ที่โรงแรม The Ritz Carlton, One Bangkok วันนี้ (21 พ.ย.) นายทักษิณ​ ชินวัตร​ อดีตนายกรัฐมนตรี​ ร่วมงาน​ Gala Dinner and Session XVII In Conversation​ พร้อมร่วมสนทนากับ Steve Forbes, Chairman and Editor-in-Chief, Forbes Media​ ซึ่งมีภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ของประเทศเข้าร่วมจำนวนมาก​

นายสตีฟ ได้กล่าวแซวนายทักษิณ ว่า ชอบกินไก่เคเอฟซี ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะของแขกที่ร่วมงาน​ จากนั้น นายทักษิณ​ ได้กล่าวถึงประสบการณ์​การทำงาน​ 25 ปี​ที่ผ่านมา ว่า ​มีนรกและสวรรค์ ชีวิตตนเริ่มธุรกิจมาจากศูนย์ และผ่านความยากลำบากมาอย่างมากมาย ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจ และเห็นนรกก่อนเห็นสวรรค์ ในการดำเนินธุรกิจ​ ก่อนที่จะกระโดดลงมาเล่นการเมือง เพราะทุกครั้งที่ตนลงไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดก็เห็นคนยากจน ไปกี่ครั้งก็เป็นเหมือนเดิม​ ตนจะคิดว่านอกจากจะช่วยตัวเองและครอบครัวแล้ว​ ทำไมจึงไม่ช่วยคนที่น้อยกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจเล่นการเมือง ซึ่งในช่วงต้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเห็นสวรรค์ในทางการเมือง​ ส่วนนรกนั้นตามมาทีหลัง พร้อมกับระบุว่า​ นรกสวรรค์คือชีวิตขอตน​ มีขึ้นและมีลง​ และตอนนี้คิดว่าอยู่บนพื้นดินแล้ว​ ไม่เอาสวรรค์ไม่เอานรก

นายทักษิณ​ ระบุถึงพรรคร่วมรัฐบาล​ ว่า รัฐบาลผสมมีพรรคร่วม จึงต้องมีข้อตกลงร่วมกันในการทำหลายสิ่ง แต่บางเรื่องอาจจะไม่ได้เห็นรัฐบาลผสม ซึ่งโชคดี​ เพราะส่วนใหญ่คนที่อยู่ในรัฐบาลผสมด้วยกัน​ขณะนี้​ เคยทำงานร่วมกับตนตอนที่ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมาในปี 2541 และกลายเป็นรัฐบาลในปี 2544 และคนที่เป็นตัวหลักส่วนใหญ่ก็เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของตน ความร่วมมือ และความสัมพันธ์​ของพรรคร่วมรัฐบาล ถือว่ายังดีอยู่ และอีกหนึ่งสิ่งนายกรัฐมนตรีหน้าตาคล้ายตน​ คงรู้สึกคุ้นเคย และเคยทำงานกับตน​ แต่อาจจะเป็นเวอร์ชั่นที่ 2

ส่วนที่ถูกตกเป็นเป้าทางการเมือง และในวันพรุ่งนี้ศาลรัฐธรรมนูญ จะอ่านคำวินิจฉัยรับหรือไม่รับคำร้อง​ มีวิธีจัดการอย่างไรต่อจิตใจไม่ให้ตกไปสู่นรกอีก​ นายทักษิณ​ ระบุว่า ​ผ่านจุดนี้มาบ่อยๆ ผ่านมาหลายสิ่ง อย่างที่บอกว่าเห็นทั้งนรกและสวรรค์​ ไม่มีอะไรที่ทำให้ตนนั้นตื่นเต้น และพรุ่งนี้เขาบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน ตนก็รู้สึกว่า ไม่เป็นไร​ ก็แค่รอรับฟังคำตัดสิน เพราะต้องมองไปข้างหน้า เราไม่ย้อนกลับไปในอดีต​ ไปข้างหน้าแต่ไม่ใช่ moving forward​ ​ ซึ่งเรียกเสียงปรบมือได้เป็นอย่างดี​
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ คำที่นายทักษิณใช้คำว่า​ moving forward​ ตรงกับพรรคก้าวไกล​ moving forward​ party
ขณะเดียวกัน นายทักษิณ​ ยังกล่าวว่า​ ตนชอบเวลาไปวัดสงบจิตใจ​ไปไหว้พระ​ ไปสักการะพระพุทธรูป และกลับมานอนหลับฝันดี​ ส่วนทางที่จะไปอาจจะมีหมาเห่า​ คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไมมันถึงเห่า​ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องหมา​ ก็ไปนอนซะ​ ก็จะมีจิตใจที่สงบ​

ตอนหนึ่ง นายทักษิณ​ ยังเล่าถึงการจากประเทศไทยว่า​ ในช่วง 17 ปีที่ ต้องไปอยู่ต่างแดน จำเป็นมากๆ ที่ต้องรักษาความสงบในจิตใจ ถ้าหากคิดลบกับตัวเอง คงอยู่มาถึงไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ และ 17 ปีที่ผ่านมา ตนไปแทบทุกประเทศ ยกเว้นแคริบเบียน และไม่ว่าตนจะไปที่ใด​ ต้องมีธุรกิจที่จะไปทำ และการพักผ่อนเป็นเพียงแค่ส่วนเสริม​ ฉะนั้น จึงไม่ไปทะเลแคริบเบียน เพราะการไปพักผ่อนไม่ใช่หัวใจและข้อสำคัญในชีวิตของตน พร้อมเปรียบว่า​เกิดปีวัว​ ทำงาน​ ทำงาน ทำงาน​ อย่างเดียว และตอนนี้อายุ 75 แล้วบางวันยังต้องทำงาน 14 ชั่วโมงอยู่เลย และตอนนี้มีเงินเดือนตอนนี้ 700 บาท​ คือ​ เงินค่าอุดหนุนผู้สูงอายุ

นายทักษิณ​ ยังกล่าวอีกว่า​ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไม่เคลื่อนไปข้างหน้า รัฐบาลทหารและธนาคาร​ คิดว่าเราไม่ควรสร้าง​ ติดตั้งแต่วิกฤตปี 40 ธนาคารแห่งประเทศไทย​พยายามปกป้องธนาคารพาณิชย์ออกพันธบัตร ทำให้ GDP ของประเทศโตน้อยกว่าประเทศอื่น ซึ่งเป็นที่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดไทยจึงเติบโตน้อยกว่าที่อื่น ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะทำอย่างไรนั้น ต้องดูสถานการณ์ของสกุลเงินและอีกหน้าที่ คือ ดูแลธนาคารพาณิชย์ บางทีก็งงกับบทบาทปกป้องธนาคารพาณิชย์มากเกินไป​ ซึ่งในอดีตธนาคารพาณิชย์ ใช้ Concept จับมือที่ลูกค้าที่มีปัญหา แต่ปัจจุบันกลับใช้การเก็บเงินสำหรับคนที่อยู่รอด ซึ่งแนวคิดเปลี่ยนไปจากในอดีต ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามนำตัวสภาพคล่องออกมาจากธนาคารพาณิชย์ จึงเป็นสาเหตุว่าเหตุใดรัฐบาลจึงพยายามเอาทุนลงไปในระบบเพิ่มขึ้น ผ่านโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งก็เหมือนกับปลาที่อยู่ในบ่อน้ำตราบใดที่มีน้ำก็ว่ายได้ วางไข่ได้ แต่ถ้าไม่มีน้ำก็ไม่สามารถวางไข่ได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรเป็นอิสระ รัฐบาลควรจะมีส่วนร่วมมากขึ้น แม้ว่าจะมีอิสระ​ แต่ต้องฟัง

พร้อมกับยังระบุว่า​ ส่วนใหญ่คนของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นนักเรียนที่ดี เป็นนักเรียนเกรดเอทั้งหมด เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้เอทุกวิชา ก็เลยเชื่อว่าไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว ซึ่งไม่จริง แต่ต้องมีประสบการณ์

นายทักษิณ​ ยังกล่าวอีกว่า bitcoin เป็นเรื่องหนึ่ง และ stable Coin เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า ทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลเคยพูดคุยกับตน ถึงความเป็นไปได้ว่าเราจะออก stable Coin ที่มีพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวสนับสนุน เพื่อให้มีสภาพคล่อง ซึ่งขณะนี้กำลังพูดคุยกันอยู่อย่างจริงจัง

นายทักษิณ​ ยังกล่าวปัจจุบันเรามีการแข่งขันกับจีน ซึ่งจีนมีกำลังการผลิตมาก​ ต้นทุนจึงต่ำ ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีการคิดถึงความคิดสร้างสรรค์ โดยการผลักดันซอฟต์​พาวเวอร์​ ดังนั้น จึงควรมองหาธุรกิจ ในแง่ที่จะใช้เทคโนโลยีช่วยขยายให้เราเติบโต ไม่ใช่เหมือนในอดีต ที่ทำงานทั้งวันทั้งคืน​ แต่ไม่ได้อะไร ไม่สามารถแข่งอะไรกับจีนได้เลย​ รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องปกป้องผู้ผลิตรายย่อยและผู้ผลิตท้องถิ่น ซึ่งตนคิดว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งให้แอปพลิเคชันจากต่างประเทศที่จะขายสินค้าในประเทศไท​ยต้องลงทะเบียนเพื่อเสียภาษี หากแอปใดไม่เสียภาษีก็จะต้องสั่งปิด รวมถึงของที่จะส่งมาจะต้องมีมาตรฐานเดียวกับสินค้าที่ผลิตในไทย และได้มาตรฐานอุตสาหกรรม

ขณะเดียวกัน นายทักษิณ​ ยังระบุว่า ทีมเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี​ กำลังคิดที่จะปฏิรูป​ภาษี โดยการลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และภาษีนิติบุคคลให้สามารถแข่งขัน และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้น แต่จำเป็นจะต้องมีระบบที่สามารถคืนเงินภาษีให้กับคนทั่วไป และคนที่มีรายได้น้อยได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทีมเศรษฐกิจได้กล่าวกับตนว่าจะมีการทำแบบเป็นระยะ พร้อมกับระบุว่า​ ในทุกวันนี้หากต้องการได้เก็บภาษีเพิ่มจะต้องขอให้น้อยลง​ เพราะหากขอมากขึ้นการจัดเก็บภาษีจะได้น้อย​ พร้อมยกตัวอย่างสมัย​นางสาวยิ่ง​ลักษณ์​ ชิน​วัต​ร​ เป็นนายกรัฐมนตรี​ สามารถจัดเก็บได้ตามเป้า​ ซึ่งรัฐบาลก่อนหน้าไม่สามารถทำได้เลย​ เพราะเขาไม่กล้าลดภาษี​

เมื่อถามว่า​ ถ้าจะไปกินเคเอฟซีกับ ประธานาธิบดี ทรัมป์​ จะแนะนำอะไร นายทักษิณ​ กล่าวว่า​ ประธานาธิบดี ทรัมป์​ พยายามจะลดภาษีในประเทศ​ แต่เพิ่มภาษีการนำเข้า เห็นว่า จะเพิ่ม 60% ในฝั่งสินค้าจากจีน มันเกินดุลเกินไป และตนคิดว่า​ อเมริกาคงผลิตไม่ได้ทุกอย่าง​ ต้องนำเข้าบางอย่าง กลายเป็นว่าผู้บริโภค ต้องเป็นคนจ่ายเพิ่มตรงนี้ ดังนั้น การที่เรามีนโยบายกีดกันทางการค้าภายใต้ประธานาธิบดี ทรัมป์ แนวคิดแบบนี้น่าจะรุนแรงพอสมควร ซึ่งมันเหมือนถอยหลังไป 50 ปี​ที่แล้ว​ และถ้ามองโลกเป็นพื้นที่ของเรา การกีดกันทางการค้ามันไม่ควรมี

แต่พิธีกรแซว​ว่า ดูเหมือนจะซึมซับ หลักคิดของ Adam Smith ตั้งแต่ 200 ปีที่แล้วมาโดยตรง​ หากจะให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ​ นายทักษิณ​ ​รีบตอบปฏิเสธว่า “ผมแก่ไปแล้ว อายุผม 75 แล้ว”

ขณะที่อาเซียน นายทักษิณ​ กล่าวว่า​ ต้องรวมให้เป็นหนึ่ง​ ไม่ใช่หมายถึงประเทศ ​แต่มันหมายถึงนโยบาย รวมไปถึงเชิงประชากรและทรัพยากร​ ซึ่งตอนที่ตนเป็นนายกฯ ก็เริ่มทำสิ่งนี้​ มีการค้าเสรีในระหว่างประเทศอาเซียน มีการผลิตจากประเทศหนึ่งไปสู่ประเทศหนึ่ง ด้วยภาษีที่ต่ำมากๆ​ ส่วนเอเปก​ตอนนี้ไม่ตื่นเต้นแล้ว​ ด้วยความที่ขนาดของเศรษฐกิจในประเทศสมาชิก บางประเทศก็จนมาก บางประเทศก็รวย มันเป็นความแตกต่าง และการที่มันไม่สามารถสร้างการตกลงใดๆ ได้ การประชุมนานาชาติ​ไม่สามารถลงมติได้​ มันก็ไม่สามารถเติบโตได้​ เพราะฉะนั้นตนคิดว่าเอเปกถึงจุดนั้นแล้ว

เมื่อถามถึงเรื่อง “คอคอดกระ” นายทักษิณ​ กล่าวว่า ตนคิดว่า​ ไม่สามารถเดินหน้าได้ เพราะจะมีปัญหากับพื้นที่ภาคใต้ แต่เราได้ทำโครงการแลนด์บริดจ์ไป​แล้ว​ โดยเราจะต้องมีการเปิดการสนทนาในทางเศรษฐกิจ​ จะต้องคุ้มค่าและประเทศหลายประเทศต้องสนใจ แต่รัฐบาลเราจะไม่ลงทุนเอง​ จะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทางการค้า ภายใต้ประโยชน์ของประเทศชาติ

เมื่อถามว่า มีแรงบันดาลใจ จากผู้นำท่านใดหรือไม่ นายทักษิณ​ กล่าวว่า ​ไม่มีท่านใดที่สร้างแรงบันดาลใจ​เป็นท่านเดียวหรือเป็นไอดอล ตอนที่ตนได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี ตนชอบ​ลีกวนยู เพราะเป็นคนมีความมุ่งมั่น​สูงมาก มีความรู้และนี่เป็นสไตล์ที่ตนชอบ ส่วน​มหาเธร์ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพมากเลย​ และตอนนี้ท่านอายุ 99 ปี​ ยังมีอิทธิพลอยู่​ แต่ตนอายุ 75 ปีไม่มีอิทธิพลอะไรแล้ว

เมื่อถามว่า​ 10 ปี​ ประเทศไทย​ จะเป็นอย่างไร​ นายทักษิณ​ กล่าวว่า ​อีก 5 ปีข้างหน้า เมืองไทย​จะทำงานใน​ 2 ขา​ ขาแรกคือ Soft Power มันคือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อีกขาเราจะจับคลื่น​ AI เป็นศูนย์กลาง Data Center และดึงมาเป็นดิจิทัล Embassy เปรียบเสมือนพื้นที่ 1 ที่มี Data Center เชื่อมกับทุกประเทศ เหมือนเป็นสถานทูตทั่วโลกมาอยู่ที่นี่



ที่มา : MgrOnline