วิจัยแฉแนวคิดทุ่มบิทคอยน์แก้หนี้สหรัฐฯ เป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ

เผยแพร่ : 21 พ.ย. 2567 14:49:52
X
• ประธานกลุ่มนักวิจัยไม่แสวงหากำไรวิจารณ์แนวคิดดังกล่าวว่าเป็นการ "พูดเกินจริง" และมองด้านเดียว
• การใช้ Bitcoin แก้ปัญหาหนี้สหรัฐฯ มีปัจจัยเสี่ยงและความท้าทายอื่นๆ มากมายที่ยังไม่ได้รับการพิจารณา

ประธานกลุ่มนักวิจัยที่ไม่แสวงหากำไร ออกมาฉะแหลกแนวคิด สว.ลัมมิส ที่จะวางนโยบาบจะกำหนดให้ "บิทคอยน์ มาเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลสำรองของประเทศ ช่วยแก้หนี้ของสหรัฐได้" เป็นการ “พูดเกินจริง” เพราะยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆอีกมาก มองด้านเดียวไม่ได้

เอวิกซ์ รอย ประธานองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร กล่าวว่าความคิดของวุฒิสมาชิก ซินเธียร์ ลัมมิสที่กล่าวว่าบิทคอยน์สามารถขจัดหนี้ของรัฐบาลกลางได้นั้นเป็นการ "โอ้อวดหรือขายของเกินจริง" จากสิ่งที่บิทคอยน์สามารถทำได้ โดยเอวิกซ์กล่าวว่าแผนของวุฒิสมาชิกลัมมิสในการจัดตั้งทุนสำรองบิทคอยน์ เชิงกลยุทธ์จะไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาวิกฤตหนี้ของประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านล้านดอลลาร์

โดยเอวิกซ์ รอย อธิบายว่าแม้การซื้อบิทคอยน์ จำนวนมหาศาลอาจช่วยได้ แต่จะไม่สามารถกำจัดหนี้ 35.46 ล้านล้านดอลลาร์ ที่เพิ่มขึ้นเกือบทวีคูณตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ได้ เขาเน้นว่าทุนสำรองบิทคอยน์นั้นดี แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ตรงจุด

"คุณยังต้องทำการปฏิรูปงบประมาณจริงๆ เพื่อให้หลุดพ้นจากการขาดดุลของรัฐบาลกลาง 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี" รอย กล่าว

อย่างไรก็ตาม รอยกล่าวว่าทุนสำรองบิทคอยน์ อาจบรรเทาความตึงเครียดในตลาดตราสารหนี้ได้ โดยการสนับสนุนดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยบิทคอยน์ แต่เขากังวลว่าการตั้งค่าดังกล่าวอาจทำให้สหรัฐ ฯ กัดเซาะเงินสำรองบิทคอยน์เหล่านั้น คล้ายกับที่เคยทำกับทองคำในช่วงทศวรรษ 1970.

ทั้งนี้วุฒิสมาชิกลัมมิส ได้ชูจุดขายเพื่อเตรียมหาเสียงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐโดยได้เปิดตัวพระราชบัญญัติบิทคอยน์ในเดือนกรกฎาคม เพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ ซื้อ 1 ล้านเหรียญบิทคอยน์ หรือประมาณ 5% ของอุปทานทั้งหมด และถือไว้อย่างน้อย 20 ปี นอกจากนี้เธอยังเรียกร้องให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ แปลงการถือครองทองคำบางส่วนจำนวน 8,000 ตัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 448 พันล้านดอลลาร์ เป็นทุนสำรองเชิงกลยุทธ์ในบิทคอยน์แทนตามที่เธอเสนอ อย่างไรก็ดีหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ยังสัญญาว่าจะสร้างคลัง Bitcoin ระดับชาติในเดือนกรกฎาคม 2568 ด้วย

ที่มา : MgrOnline