ศาลอาญาประหารชีวิต ‘แอม ไซยาไนด์’ วางยาฆ่า "ก้อย" ส่วนอดีตสามีและทนายพัช โดนคุก 2 ปี
เผยแพร่ : 20 พ.ย. 2567 12:58:55
ศาลอาญาตัดสินประหารชีวิต ‘แอม ไซยาไนด์’วางยาฆ่า"ก้อย" ส่วนอดีตสามีนายตำรวจ และทนายพัช ช่วยทำลายหลักฐาน โดนคุกคนละ 2 ปี
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (20 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาผู้เสียชีวิตร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นางสรารัตน์ รังสิตวุฒาภรณ์ หรือ แอม ไซยาไนด์ อายุ 36 ปี จำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าอื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย,
ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 40 ปี อดีตสามี และอดีตรองผกก.สภ.สวนผึ้งจำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือ ทนายพัช อายุ 36 ปี จำเลยที่ 3 ในความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐานพร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน30 ล้านบาท
สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2566 ว่า
เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2566 นางสรารัตน์จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย อายุ 32 ปี โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) ซึ่งเป็นสารพิษปลอมปนใส่ลงในอาหาร หรือน้ำดื่ม และปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัด ให้ผู้ตาย ดื่มหรือรับประทาน ระหว่างที่จำเลยที่ 1กับผู้ตาย ซึ่งเป็นเพื่อนกันเดินทางไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ต.บ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ก่อนที่ผู้ตายจะหมดสติ และเสียชีวิตเวลาต่อมา โดยจำเลยที่1 ไม่ได้ให้การช่วยเหลือและนำทรัพย์สินผู้ตาย 9 รายการมูลค่า154,630 บาทของผู้ตายไปให้แก่ผู้มีชื่อ เพื่อซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ตามที่จำเลยที่ 3 ได้ใช้ หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาทรัพย์ของผู้ตาย เพื่อเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษตามกฎหมาย หรือให้ได้รับโทษน้อยลงอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี โดยจำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ได้รับการประกันตัวโดยศาลตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท
โดยก่อนอ่านคำพิพากษาศาลให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ให้ใส่กุญเเจมือจำเลยทั้งสามราย
ศาลพิเคราะห์พฤติการแห่งคดี ว่า ช่วงวันที่ 1 ม.ค.2563 ถึง 5 พ.ค.2566 จำเลยที่ 1 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 95 ล้านบาท และมีเส้นทางการเงิน เชื่อมโยงอีก 10 บัญชี ที่ตรวจสอบพบว่าเป็นบัญชีม้าและเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกับมีหนี้สินบัตรเครดิตจำนวน 3 ใบ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินคดี
ส่วนในปี 2564 - 2565 พบว่าจำเลยที่1 เล่นพนันออนไลน์เสียเกือบ 10 ล้านบาท เเละมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาดังกล่าว ต่อมามีพยานที่เป็นผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงเพื่อวางยาในน้ำดื่มและในยาเม็ดแคปซูล ต่อมาพบว่ามีอาการเหมือนถูกพิษ ข้อเท็จจริงยังได้ความว่ามีการเสียชีวิตของผู้เสียหายที่เกี่ยวพันลักษณะนี้ 13 ราย เเละรอดชีวิต 2 ราย
ส่วนการเสียชีวิตของนางสาวศิริพร หรือก้อย มีการกระทำหลายอย่างของจำเลยที่ 1 ที่เป็นพิรุธ ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาและความคาดหมายว่าจะให้เสียชีวิตในช่วงเวลาใด รวมถึงจำเลยที่1 คอยอยู่ใกล้ผู้ตายเพื่อขโมยของ ก่อนที่จะมีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งหากบริสุทธิ์จริงควรอยู่ช่วยชีวิตจนถึงที่สุด หรือ โทรติดต่อญาติของผู้ตายให้ทราบ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่1 มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น ยังพบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้สั่งไซยาไนด์ มาอย่างเร่งรีบ ทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวกับสารเคมี และพบว่ามียาไซยาไนด์ซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ของผู้ตายหลายจุด รวมถึงพบยาเม็ดแคปซูลที่ภายในประกอบด้วยสารไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์ คดีนี้เเม้ไม่มีประจักษ์พยานเเต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่เห็นผู้ตายล้มลงเเละยังลักทรัพย์ผู้ตายโดยไม่ช่วยเหลือ เเละภายหลังผู้ตายเสียชีวิตด้วยไซยาไนด์ เรียกได้ว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อประโยชน์เเห่งการชิงทรัพย์ พยานหลักฐาน
จำเลยที่ 2 ทราบว่าตำรวจกำลังตามหาของกลาง ที่มีประเด็นหลักฐานสำคัญซึ่งเป็นกระเป๋าของกลางไปส่งให้กับจำเลยที่ 1 แทนที่จะนำไปให้พนักงานสอบสวน ตามคำยุยงของจำเลยที่ 3
ส่วนจำเลยที่ 3 ในฐานะเป็นทนายความที่จำเลยที่ 1 ให้ความเชื่อถือ ได้ยุยงให้จำเลยที่1 ปกปิดกระเป๋าซึ่งเป็นของกลางในคดี เพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่3 ได้คุยและส่งผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่ชนะคดีได้โดยไม่มีของกลางให้จำเลยที่1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น เพื่อจูงใจ ให้จำเลย ซ่อนเร้นพยานหลักฐานในคดีการกระทำจึงไม่ใช่แค่การให้คำแนะนำทางกฎหมายแต่เป็นการยุยงให้จำเลยที่2 กระทำความผิด ซึ่งอาชีพทนายความเป็นอาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีแต่จำเลยกลับกระทำการให้มีการทำผิดกฎหมาย
พยานโจทก์เเละโจทก์ร่วมมีน้ำหนัก ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึง 3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนทางคดีแพ่ง โจทก์ร่วมขอให้ชดใช้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าควรชำระค่าขาดอุปการะ ค่าปลงศพเเละค่าเสียหายจากทรัพย์พร้อมดอกเบี้ย ให้ชำระให้โจทก์ร่วม เป็นเงิน 2,343,588 ล้านบาท
ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสาม กระทำผิดตามฟ้อง เห็นว่าการกระทำของ นางสรารัตน์ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อกระทำอย่างอื่น พิพากษาประหารชีวิต
ส่วนพ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามี และอดีตรองผกก.สภ.สวนผึ้งจำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือ ทนายพัชจำเลยที่ 3 มีความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี เเต่พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การฟังคำพิพากษาในวันนี้จำเลยทั้ง 3 มีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ศาลใช้ระยะเวลาอ่านร่วม 3 ชั่วโมงกว่าจึงอ่านคำพิพากษาเสร็จ
ภายหลังฟังคำพิพากษา นางพิน แม่ของน้องก้อย เปิดใจพร้อมน้ำตา กล่าวขอบคุณที่ศาลที่ให้ความยุติธรรม และอยากจะบอกกับลูกสาวว่า “ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ขอให้นอนหลับให้สบาย ไม่มีอะไรที่ต้องห่วง”
นอกจากนี้ นางพิน ยังกล่าวว่า เมื่อเจอหน้า แอม ไซยาไนด์ ในห้องพิจารณาคดี ตนยังรู้สึกโกรธแค้นไม่อยากจะมองหน้า แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาแอม ก็ยังดูไม่มีท่าทีสลด ขนาดศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต แอมก็ยังไม่สลด
ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความเปิดเผยว่า วันนี้ศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ศาลพิพากษา แต่มีการพูดถึงพยานจากคดีอื่นด้วย ซึ่งสามารถนำคำพิพากษาในคดีนี้เป็นแนวทางในการพิพากษาคดีอื่นที่เกี่ยวกับแอมและมีการเสียชีวิตอีกด้วย
ส่วนคดีอื่นที่เกี่ยวข้อง พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนอีก 14 คดี ของแอม ไซยาไนด์ให้อัยการในวันอังคารหน้า
“ต้นอ้อ” เผยนาทีอ่านคำพิพากษประหารชีวิต เจ้าตัวแต่งหน้าสวยยิ้มรับ
ที่ กองปราบปราม น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง เปิดเผยถึงคดีแอมไซยาไนด์ ว่า หลังจากที่ตนไปฟังคำพิพากษา ที่เป็นการฟังคำพิพากษายาวนานที่สุดตั้งแต่เคยเจอกว่า 3 ชั่วโมง โดยญาติผู้เสียชีวิตก็มีความกังวลว่าศาลจะยกฟ้องหรือไม่ เพราะทนายฝั่งของแอมอ้างเหตุผลว่า ไม่ได้เห็นการกระทำของแอมในระหว่างการวางยา แต่เมื่อผู้พิพากษาอ่านพฤติการณ์แรงจูงใจของแอมตั้งแต่ปี 65-66 พบว่าเป็นช่วงที่แอมติดการพนันหนักที่สุด และมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 90 ล้านบาท และเป็นช่วงเวลาที่มีผู้เสียชีวิตร่วงหล่นเป็นใบไม้ถึง 12 ราย บวกอีก 2 รายที่รอดชีวิต นับว่าเป็นการฆ่าเพื่อปลดหนี้ จึงมีคำตัดสินว่าให้ประหารชีวิต
ซึ่งระหว่างการอ่านคำพิพากษา ก็มีการกล่าวถึงการเสียชีวิตของแต่ละคนที่มีความคล้ายคลึงกันทั้งหมด ที่สำคัญคือพยานหลักฐานที่ได้มา พบว่าแอมมีการพยายามทำลายหลักฐานโดยมีทนายแนะนำ ซึ่งหลังจากที่ผู้พิพากษาอ่าน ทางด้านแอมก็ไม่ได้มีท่าทีเสียใจ ไม่ได้ร้องไห้ ไม่สลดและยิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะกับทนายในศาลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่กล้าสบตาฝั่งตน ทำให้ญาติผู้เสียชีวิตตั้งข้อสงสัยว่า ไม่สลดเลยหรืออย่างไร กับเหตุการณ์ที่ได้กระทำลงไป
โดยในระหว่างที่ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินประหารชีวิตแอม ทางตนและญาติผู้เสียชีวิตก็กอดกันร้องไห้ แต่ทางทนายก็หันมาบอกว่า “อย่าเสียงดัง” พร้อมกับทำเสียงจุปาก
“ตนจึงรู้สึกสงสัยขณะที่คุณใส่กุญแจมืออยู่ คุณยังมีหน้าหันมาบอกว่าอย่าเสียงดังอีกหรือ“ น.ส.ชลิดา กล่าว
น.ส.ชลิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า แต่อย่างน้อยฝั่งญาติผู้เสียชีวิตก็ดีใจที่ยังมีความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิต ซึ่งในวันอังคาร (26 พ.ย.) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางก็จะมีการส่งสำนวนไปที่อัยการอีก 14 เคส แต่ก็เห็นว่าทางฝั่งทนายจะมีการยื่นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมด
โดยในวันนี้ตนสังเกตเห็นว่า แอมแต่งหน้าสวย ทาปากแดง ต่อขนตาสวย สภาพร่างกายต่างจากครั้งแรกที่เจอ เพราะน่าจะมีความมั่นใจในการยื่นอุทธรณ์แล้วชนะคดี แต่ทางด้านทีมทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ก็ยังทำงานกันต่อเนื่อง แต่ก็ต้องพึ่งพาอัยการด้วย
นอกจากนี้ตนพบว่า ขณะที่ตัวแอมเข้าเรือนจำนั้น ได้มีการตั้งครรภ์ประมาณ 4-5 เดือน แต่ก็พบว่าแท้งในอายุครรภ์ 7 เดือน จากพฤติกรรมที่ไม่ดูแลตัวเอง ไม่กินข้าวไม่ดื่มน้ำจนทำให้ขาดสารอาหาร โดยแอมได้มีการเปิดเผยว่าไม่อยากเอาเด็กคนนี้ไว้ ถึงแม้ว่าการเก็บเด็กไว้จะทำให้ไม่โดนโทษประหาร จากสิ่งนี้จึงทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่า แอมอาจมีความมั่นใจในคำพูดของทนายว่าอย่างไรก็รอด
ที่มา : MgrOnline