หลักทรัพย์บัวหลวง แนะบริหารจัดการภาษีผ่านกองทุนตัวท็อป
เผยแพร่ : 20 พ.ย. 2567 12:56:26
• รายงาน BLS Top Funds แนะนำลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อบริหารภาษีและสร้างผลตอบแทนระยะยาว
• รายงานเน้นแนะนำกองทุนลดหย่อนภาษีที่มีผลงานโดดเด่น
หลักทรัพย์บัวหลวง มองตลาดหุ้นทั่วโลกโค้งสุดท้ายปี 67 มีโอกาสปรับฐานจากเศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอตัว รายงาน BLS Top Funds แนะผู้ที่กำลังวางแผนบริหารภาษีและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว ด้วย “กองทุนลดหย่อนภาษี” เน้นกองทุนตัวท็อปผลงานเด่นที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลก และลงทุนในตลาดที่มีแนวโน้มกำไรฟื้นตัว เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน
นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 ทีมวิจัยหลักทรัพย์ของหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกว่ามีโอกาสปรับฐานจากความเสี่ยงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทำให้มูลค่า (Valuation) หลายตลาดค่อนข้างตึงตัวเสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดต่อจากไปนี้
สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนจะใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินช่วยบริหารจัดการภาษีและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว เราแนะนำกระจายน้ำหนักการลงทุนไปยัง “กองทุนลดหย่อนภาษี” ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
โดยรายงาน BLS Top Funds แนะให้เลือกลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ลงทุนในตลาดที่มีแนวโน้มกำไรฟื้นตัว (Earnings Growth) และมูลค่า (Valuation) น่าสนใจ สะท้อนผ่าน Trailing P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี เพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน คือ
1.ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลดีจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีกำไรเติบโตดี และกระแส AI ยังมาแรง แนะนำรอจังหวะย่อตัว เพื่อเข้าลงทุนในกองทุน B-INNOTECHSSF และ B-INNOTECHRM เน้นลงทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดีทั่วโลก และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีราคาแพง ซึ่งกองทุนนี้จะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดได้อย่างดี
2.ตลาดหุ้นเวียดนนาม ที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตดี และ Valuation ไม่แพง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามจัดอยู่ในตลาดหุ้นชายขอบ (frontier market) และอยู่ในรายชื่อการพิจารณาของ FTSE เพื่ออัปเกรดเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (emerging market) โดยอาจขยับสถานะขึ้นในปี 2568 แนะลงทุนกองทุน B-VIETNAMSSF และ PRINCIPAL VNEQRMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ด้วยกระบวนการคัดเลือกหุ้นด้วยกลยุทธ์ทั้ง Top Down และ Bottom Up เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน
3.ตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง ปัจจุบัน Valuation อยู่ในระดับที่ถูก และมีโอกาสที่กำไรจะฟื้นตัว จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนให้กลับมาคึกคัก แนะนำลงทุนกองทุน MEGA10CHINA-SSF และ MEGA10CHINARMF ที่ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ที่มีมูลค่าสูงสุด 10 บริษัทแรก และมีสภาพคล่องสูง โดยกองทุนมักสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม Alpha ได้ดีกว่ากลุ่ม เมื่อตลาดหุ้นมี Momentum เชิงบวก
4.หุ้นกลุ่มสุขภาพ ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้มีความทนทานต่อเศรษฐกิจถดถอย และกำไรเริ่มกลับมาฟื้นตัว แนะนำลงทุนกองทุน KT-HEALTHCARE-SSF และ KT-HEALTHC RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้นสุขภาพทั่วโลก สไตล์ Balance Portfolio ทั้งในหุ้นสุขภาพแบบดั้งเดิมและนวัตกรรม โดยหุ้นที่กองทุนเลือกลงทุนจะมียอดขายและกำไรเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนผลตอบแทนให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ
5.ตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันปัจจัยลบเริ่มคลี่คลาย หลังภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการสนับสนุนตลาดทุน ซึ่งจะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนได้เป็นอย่างดี แนะนำลงทุนกองทุน B-TOP-THAIESG ที่คัดเลือกหุ้นไทยคุณภาพดี มีศักยภาพในการเติบโต โดยกองทุนนี้สามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับกลุ่ม
ทั้งนี้ รายงาน BLS Top Funds ยังแนะนำจัดพอร์ตตามความเสี่ยง โดยสามารถนำกองทุน SSF, RMF และ Thai ESG ตัวท็อปผลงานเด่นในข้างต้นที่คัดสรรโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาผสมสัดส่วนการลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ผลงานดี เพื่อสร้างสมดุลให้พอร์ตตามความเสี่ยงที่รับได้ในระดับต่ำ กลาง และสูง แนะนำกองทุน KFAFIXSSF และ KKP INRMF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางคุณภาพดีทั้งภาครัฐ และเอกชน
“ผู้ที่กำลังวางแผนลดหย่อนภาษีปี 2567 เราแนะให้ลงทุนใน Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนหุ้น ESG ไทย และ/หรือตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนไทย (ESG Bond) ให้เต็มจำนวน โดยไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินทั้งปี และลงทุนสูงสุดได้ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งวงเงินลงทุนของ Thai ESG จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุนอื่นๆ ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จากนั้นหากมีเงินเหลือค่อยลงทุนใน SSF และ RMF จนครบสิทธิ โดยผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี ให้ลงทุน SSF ให้เต็มสิทธิก่อน ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ให้ลงทุน RMF ให้เติมสิทธิก่อน ที่เหลือค่อยลงทุนในกองทุน SSF ให้ครบ” นายเสริมศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจรับ BLS Top Funds รายงานอัปเดตสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกแบบ Weekly พร้อมคำแนะนำ “กองทุนตัวท็อป” คุณภาพดี ผลงานเด่น จาก 17 บลจ.ชั้นนำ สามารถเปิดบัญชีกองทุนรวมออนไลน์กับหลักทรัพย์บัวหลวงได้ที่ www.bualuang.co.th
ที่มา : MgrOnline