Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 35.00 ติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน

เผยแพร่ : 15 พ.ย. 2567 09:27:29
X
• ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ในเช้าวันที่ 15 พ.ย. 67
• อัตราแลกเปลี่ยน เปิดอยู่ที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์
• ปิดวันก่อนหน้า ที่ 35.15 บาทต่อดอลลาร์
• แหล่งข้อมูล จากนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (15 พ.ย.) ที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.15 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.20 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 34.79-35.17 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 34.80 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ราว +30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงกลับสู่โซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์อีกครั้ง หลังถ้อยแถลงล่าสุดของประธานเฟด Jerome Powell ที่ระบุว่า “เฟดไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย” ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมเพียง 48% ลดลงจากวันก่อนหน้าที่ผู้เล่นในตลาดประเมินไว้ถึง 83% (จาก CME FedWatch Tool) ซึ่งภาพดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดพนัน ที่ต่างเชื่อว่า เฟดมีโอกาสเพียง 59% จากที่เคยให้โอกาสไว้เกิน 70% ในวันก่อนหน้า (จาก Kalshi) โดยการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าวได้หนุนให้เงินดอลลาร์ และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กลับมาปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและค่าเงินบาท

สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ห้ามพลาด คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน เช่น ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม เป็นต้น โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวสะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีนอาจช่วยลดแรงกดดันต่อสินทรัพย์จีน ทำให้เงินหยวนจีน (CNY) มีโอกาสชะลอการอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียด้วยเช่นกัน

ส่วนในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ซึ่งภาพดังกล่าวอาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้

และในฝั่งสหรัฐฯ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนตุลาคม พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะการปรับดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคมนี้

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในวันก่อนทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้เปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าได้ถึง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดได้กลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด พอสมควรแล้ว โดยเฉพาะในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสที่จะคงดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าวได้ (โอกาสยังดู 50%-50% ทำให้มีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะ price-in แนวโน้มการคงดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้นอีกได้) ส่วนในปีหน้า ผู้เล่นในตลาดยังมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ทำให้ เราประเมินว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่ออีกไม่มากนัก อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงอ่อนไหวต่อโฟลว์ธุรกรรมสินค้าโภคภัณฑ์อยู่พอสมควร ทำให้ตราบใดที่ราคาทองคำยังมีจังหวะปรับตัวลดลง อาจกดดันหรือเร่งการอ่อนค่าของเงินบาทได้

อย่างไรก็ดี ในช่วงวันนี้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็ชะลอการอ่อนค่าลง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน (ทยอยรับรู้ในช่วง 9.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) นั้น สะท้อนการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน และหากออกมาดีกว่าคาดจะช่วยหนุนให้เงินหยวนจีน (CNY) กลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรืออาจทรงตัว ไม่ได้อ่อนค่าลงชัดเจน ในกรณีที่ข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาตามคาด

อย่างไรก็ดี เรามองว่าควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในช่วงราว 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility ต่อเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

ที่มา : MgrOnline