Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 34.95 มีโอกาสทดสอบโซนแนวต้านสำคัญที่ 35.00
เผยแพร่ : 14 พ.ย. 2567 08:03:26
• ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (14 พ.ย. 67) ที่ระดับ 34.95 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.67 บาทต่อดอลลาร์
• นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรอบเงินบาท แต่เนื้อหาในส่วนนี้ขาดหายไป
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (14 พ.ย.) ที่ระดับ 34.95 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.67 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.75-35.00 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนในลักษณะ Sideways Up (กรอบการเคลื่อนไหว 34.58-34.96 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือนตุลาคม ออกมาตามคาด (อยู่ที่ระดับ 2.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อยู่ที่ระดับ 3.3% ตามคาดเช่นกัน) ทำให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้เป็น 81% สูงขึ้นจากวันก่อนหน้าที่ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยเพียง 59%
อย่างไรก็ดี เงินบาทไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างคงประเมินว่า แม้เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ทว่าในปีหน้า ผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 อาจทำให้เฟดลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง จากที่เคยประเมินไว้ถึง 4 ครั้งใน Dot Plot ล่าสุด โดยมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดสอดคล้องกับท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ออกมาให้ความเห็นว่า เฟดจะระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงิน นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงกดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงหนักเกิน -40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่โซน 2,570 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยการปรับตัวลดลงของราคาทองคำดังกล่าวมีส่วนเร่งการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสที่ 3 รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เช่นเดียวกันกับในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เช่นกัน เพื่อประเมินโอกาสที่ BOE จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อในปีนี้ และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell ซึ่งจะรับรู้ในช่วงราว 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันศุกร์นี้ นอกจากนี้ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนตุลาคม รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่ เปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากเงินบาทยังสามารถอ่อนค่าลงทะลุโซนดังกล่าวได้ มีโอกาสอ่อนค่าได้ถึง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ โดยเรามองว่า นอกเหนือจากแนวโน้มเงินดอลลาร์ ทิศทางราคาทองคำมีผลกับค่าเงินบาทพอสมควร ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตราบใดที่ราคาทองคำยังไม่สามารถรีบาวนด์ปรับตัวสูงขึ้น หรืออย่างน้อยแกว่งตัว Sideways เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้ อย่างไรก็ดี ในเชิงเทคนิคัล เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ราคาทองคำอาจเริ่มชะลอการปรับตัวลดลงและมีโอกาสที่จะกลับมาแกว่งตัว sideways ได้บ้าง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าเงินบาทได้ นอกจากนี้ ควรรอจับตาทิศทางเงินหยวนของจีน (CNY) ซึ่งแม้ว่าในระยะสั้น เงินหยวนจีนอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาดีกว่าคาด (ทยอยรับรู้ในวันศุกร์นี้) อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวนจีนและช่วยหนุนบรรดาสกุลเงินเอเชียได้ ในส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาตินั้น เรามองว่า เริ่มมีโอกาสที่บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจชะลอแรงขายสินทรัพย์ไทยและเริ่มกลับมาซื้อสินทรัพย์ไทยได้บ้าง ซึ่งอาจพอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง
ที่มา : MgrOnline