OSP อวดกำไรงวดนี้ 672 ล้าน

เผยแพร่ : 14 พ.ย. 2567 07:45:25
X
• รายได้จากการขาย 6,043 ล้านบาท: อ่อนตัวลงตามฤดูกาลและผลกระทบน้ำท่วม
• กำไรปกติ 672 ล้านบาท: เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน
• ผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง: มีการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายขวดแก้วในเมียนมาร์

"โอสถสภา" ไตรมาส 3 ทำรายได้จากการขาย 6,043 ล้านบาท อ่อนตัวตามฤดูกาลและผลกระทบน้ำท่วม และกำไรปกติ 672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างผ่านการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายขวดแก้วในพม่า ทำให้รายงานขาดทุนสุทธิ 361 ล้านบาท มองแนวโน้มไตรมาส 4 ฟื้นตัว พร้อมเดินหน้าขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ มุ่งขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ 

น ส.รติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer  บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,043 ล้านบาท ชะลอตัว 3.7% จากปีก่อน (YoY) และ 17.7% จากไตรมาสก่อน (QoQ) เนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาล (Low Season) และผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือและภาคอีสาน ส่งผลต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในต่างประเทศเติบโต 22.3% YoY จากยอดขายในพม่าและลาวที่แข็งแกร่ง รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง 8.5% YoY จากสินค้านวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ตอบโจทย์แนวโน้มผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและขยายเข้าสู่ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น

ทั้งนี้ เนื่องจากไตรมาสที่ผ่าน บริษัทบันทึกตัดจำหน่ายหนี้สูญและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเงินลงทุนใน MGE Group ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายขวดแก้วในพม่าตามแผนยุทธศาสตร์การลงทุนในพม่า และการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ส่งผลให้เกิดเป็นผลขาดทุนสุทธิจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ 1,033 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษนี้ บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Business) ที่ 672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% สะท้อนศักยภาพและความแข็งแกร่งของธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ 36.1% ขยายตัวจากปีก่อนจากราคาต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลง ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายให้เหมาะสมสอดคล้อง

โดยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้จากการขาย 20,648 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  5.7% YoY และมีผลกำไรสุทธิ 1,071 ล้านบาท ลดลง 45.6% YoY อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมผลขาดทุนสุทธิจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจจำนวน 1,352 ล้านบาท บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Business) ที่ 2,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.5% YoY จากการที่โอสถสภาได้เดินหน้าขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคไปยังกลุ่มใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง ผ่านการออกนวัตกรรมสินค้าใหม่เพื่อผู้บริโภค เช่น แบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “เบบี้ มายด์ แอนด์ บียอนด์” ที่ขยายพอร์ตโฟลิโอเจาะกลุ่มทุกคนในครอบครัว

โดยการผสานนวัตกรรม “พรีไบโอติก” ที่เป็นอาหารผิวจากธรรมชาติ เพื่อตอบรับเทรนด์สุขภาพ  ตอกย้ำผู้นำเบอร์ 1 ของตลาดรวมสบู่และแป้งเด็กของเบบี้มายด์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ทเวลฟ์พลัส” และ “เอ็กซิท” ได้ออกนวัตกรรมใหม่ๆ สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ช่วยผลักดันการเติบโตของทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ด้านแบรนด์ “ซี-วิท” ไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อคนไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “C-Vitt วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม” เพิ่มวิตามินซีเป็น 1,000 mg. ต่อขวด ให้คุณประโยชน์ตอบรับความต้องการดูแลสุขภาพที่มากขึ้น พร้อมกับความอร่อย ดื่มง่าย ดื่มได้ทุกวัน และออกรสชาติใหม่ “เสาวรส” ที่รสชาติอร่อย หอม เปรี้ยวอมหวาน โดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังออก “เปปทีน กู๊ดไนท์” เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เผชิญกับความเครียดในแต่ละวัน ต้องการความผ่อนคลายและคุณภาพการนอนหลับที่ดี โดยพอร์ตเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ของโอสถสภาสามารถครองอันดับหนึ่งได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้ที่ 44.8% โดยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเปปทีนมีส่วนแบ่งการตลาด 5.5% เพิ่มขึ้น 1.0% YoY และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแบรนด์ “ซี-วิท” มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดที่ 74.0% ในกลุ่มเครื่องดื่มวิตามินซี เติบโต 5.3% YoY

สำหรับไตรมาส 4 โอสถสภามุ่งหน้าสร้างการเติบโตให้ธุรกิจหลัก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล หลังจากประสบความสำเร็จจากการบริหารกลยุทธ์ ไอดอลมาร์เก็ตติ้ง (Idol Marketing) ด้วยพรีเซนเตอร์ “พี่จอง-คัลแลน” โดยล่าสุด “มิโซซ่า” ตอบรับกระแสเรียกร้องให้แฟนคลับได้ใจฟูกันอีกครั้ง กับกระป๋องลิมิเต็ดเอดิชันลาย “พี่จอง-คัลแลน” ทั้งยังตอกย้ำความเป็นผู้นำเทรนด์การตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยการประกาศจับมือกับอินฟลูเอนเซอร์สุดฮอตแห่งปี คว้าตัว “น้องเนย Butterbear”  มาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ของสองแบรนด์ดัง ทั้ง “เบบี้มายด์” และ “คาลพิส แลคโตะ”  ที่เริ่มทยอยออกแคมเปญพิเศษ ร่วมสร้างการรับรู้ให้แบรนด์พร้อมฮีลใจมัมหมีอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี

ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ดีจากอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มขยายตัวจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นและธุรกิจต่างประเทศที่เติบโตได้ดี ประกอบกับการฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ รวมถึงอุปสงค์ของผู้บริโภคที่กลับมาเพิ่มขึ้นภายหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย สอดรับกับการที่บริษัทมีการพัฒนานวัตกรรมและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงจัดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ที่ช่วยสร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นตลาดในช่วงโค้งสุดท้าย โดยโอสถสภาตั้งเป้าการเติบโตรายได้ไม่ต่ำกว่า 5% จากปีก่อน และเดินหน้าบริหารจัดการต้นทุน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและการดูแลสังคม เพื่อมุ่งสู่การเป็นพลังเพื่อเสริมสร้างชีวิตให้แก่ผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า

ที่มา : MgrOnline