เจ้าท่าแปดริ้วยันสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงยังปลอดภัย ประชาชนสัญญจรได้ตามปกติ ชี้เรือชนตอม่อแค่กระทบไหล่สะพาน

เผยแพร่ : 21 ต.ค. 2567 18:02:52
X
• เรือลากจูงชนเสาตอม่อสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก
• เจ้าท่าแปดริ้ว ยืนยันว่าเสาตอม่อที่ถูกชนรับหน้าที่แค่รับน้ำหนักไหล่เท่านั้น ไม่ใช่โครงสร้างหลัก
• ข่าวลือที่ว่าให้หลีกเลี่ยงการใช้สะพาน ทำให้สังคมเกิดความสับสน

ศูนย์ข่าวศรีราชา - เจ้าท่าแปดริ้วยันอุบัติเหตุเรือลากจูงบรรทุกสินค้าพุ่งชนเสาตอม่อสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ไม่กระทบการสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก หลังมีการเสนอข่าวหลีกเลี่ยงการใช้สะพานทำสังคมสับสน เผยจุดถูกชนทำหน้าที่แค่รับน้ำหนักไหล่สะพาน ไม่มีผลด้านความปลอดภัย

จากอุบัติเหตุเรือโยงลากเรือโป๊ะชนเสาตอม่อสะพานชำรุด ขณะลอดใต้สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ช่วงถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) กม.50+500 ช่องคู่ขนานมุ่งหน้าชลบุรี เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาฉะเชิงเทรา ได้ออกประกาศแจ้งเตือนเรื่องใช้ความระมัดระวังการเดินเรือผ่านสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง

ส่วน นายมังกร ยี่หร่า รองผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ แขวงทางหลวงฉะเชิงเทรา เผยถึงความเสียหายของตอม่อสะพานเบื้องต้นว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้เส้นทางจราจร รวมถึงตัวโครงสร้างของสะพาน ขณะที่สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงมี 3 เลน และได้ปิดการจราจรบนสะพานเลนซ้ายสุดเท่านั้น และยังได้เพิ่มไฟฟ้าแสงสว่างบนสะพานและถนนทางด่วนช่วงกลางคืนเพื่อป้องกันอันตรายนั้น

วันนี้ (21 ต.ค.) นายวิระฉัตร ลีละกุล ผู้อำนวยการ เจ้าท่าภูมิภาคสาขาฉะเชิงเทรา ได้ออกมาเปิดเผยเพิ่มเติมว่าเหตุการณ์เรือลากจูงบรรทุกสินค้าพุ่งชนเสาตอม่อสะพาน เป็นการชนบริเวณเสาค้ำนอกสุดด้านฝั่งขาออกไปยัง จ.ชลบุรี ซึ่งประชาชนยังสามารถใช้การสัญจรบนสะพานได้ตามปกติ เพราะเจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดช่องทางที่ชิดกับขอบไหล่ทางไว้ 1 ช่องทางเท่านั้นจึงไม่สูญเสียเส้นทางการสัญจร

เนื่องจากทางคู่ขนาน ถ.เทพรัตน (บางนา-ตราด) มีช่องทางจราจรเพียง 2 ช่องทางและช่องทางหลักอีก 2 ช่องทางรวม 4 ช่องจราจร แต่บนสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงมี 3 ช่องจราจรในทางคู่ขนาน เมื่อถูกปิดไป 1 ช่อง ทางที่ด้านบนสะพานยังคงเหลือเส้นทางการสัญจรพอดีกับการสัญจรของถนนคู่ขนานโดยที่ไม่สูญเสียช่องทางการเดินทางแต่อย่างใด

อีกทั้งเสาที่ถูกเรือกระแทกจนได้รับความเสียหาย เป็นเพียงเสาค้ำและไม่ใช่เสาที่รับน้ำหนักของสะพาน ตามที่ได้ฟังจากวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของแขวงทางหลวง ที่ลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกัน

ผู้อำนวยการ เจ้าท่าภูมิภาคสาขาฉะเชิงเทรา ยังเผยถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินคดีกับผู้ขับเรือ ว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนคนขับเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าอีกประมาณ 3-4 วันจึงจะทราบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุที่แน่ชัดซึ่งเป็นคนละประเด็นกันกับเรื่องของการชดใช้ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นที่เป็นเรื่องทางแพ่ง

ขณะที่การซ่อมแซมสะพานเป็นการดำเนินงานที่อยู่ในการดูแลของกรมทางหลวง ซึ่งกรมเจ้าหน้าจะทำหน้าที่เอาผิดทางกฎหมายกับผู้ขับเรือ เช่น การตรวจสอบผู้ขับเรือว่ามีใบอนุญาตหรือใบขับขี่ซึ่งคล้ายกับการขับรถหรือไม่ จากนั้นจึงจะพิจารณาฐานความผิดส่งไปให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี

และยังยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กระทบการขนส่งทางน้ำในขณะนี้ และเรือยังสามารถเดินทางขนถ่ายสินค้ารอดใต้สะพานได้ตามปกติ




ที่มา : MgrOnline