"ทนายตั้ม" พาคนสนิท “สามารถ” ให้ข้อมูลดีเอสไอมัดคลิปเสียงเอาผิดฐานฟอกเงิน โวยสื่อพาดพิงทนายแบรนด์เนมช่วย "บอสพอล"

เผยแพร่ : 21 ต.ค. 2567 12:30:40
X
• ทนายตั้ม เผยมีพยานคนสำคัญ มีความใกล้ชิดกับ "สามารถ"
• พยานคนนี้ สามารถนำข้อมูล เกี่ยวกับคลิปเสียงที่อ้างว่า "สามารถ" รับผลประโยชน์จาก "ดิไอคอนกรุ๊ป" ไปให้ ดีเอสไอ ตรวจสอบ
• ทนายตั้ม ยืนยันว่าจะฟ้องรายการทีวี ที่นำเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้

MGR Online - "ทนายตั้ม" เผยพยานคนสำคัญมีความใกล้ชิด "สามารถ" นำข้อมูลให้ ดีเอสไอ ตรวจสอบคลิปเสียงรับผลประโยชน์จาก ดิไอคอนกรุ๊ป - ยันเตรียมฟ้องรายการทีวี

วันนี้ (21 ต.ค.) เวลา 10.00 น. ที่กรมสอลสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" พาพยานคนสำคัญ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีฟอกเงินกับ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย กรณีที่มีคลิปเสียงปรากฏเรียกรับเงินจากนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ "บอสพอล" บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ในฐานะโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้แทนรับเรื่อง

นายษิทรา เผยว่า วันนี้ตนนำพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นคลิปเสียง ภาพถ่าย คลิปที่ออกรายการ เอกสารการโอนเงิน รวมทั้งมีพยานบุคคล 1 รายที่เป็นคนใกล้ชิดกับนายสามารถมามอบให้ดีเอสไอ แต่ไม่ใช่คนในแวดวงการเมือง พร้อมกันนี้ขอให้คุ้มครองพยานรายนี้ เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากพยานเคยมีประวัติเคยถูกทำร้ายร่างกายมาก่อนด้วย โดยข้อมูลพยานหลักฐานไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นเรื่องในสำนวนคดี แต่ยืนยันว่า มีหลักฐานที่เป็นเส้นทางการเงินที่มัดตัวนายสามารถได้แน่นอน นอกจากนี้ ตนมีข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.67 ช่วงประมาณ 20.00 น. นายสามารถได้นัดพบกับ นายกลด เศรษฐนันท์ หรือ "บอสปีเตอร์" ที่ร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่ง ย่านรามอินทรา เพื่อขอเรียกรับประโยชน์ช่วยเหลือ หลังจากที่บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป กำลังถูกเปิดโปง โดยตนมีพยานหลักฐานจากร้านดังกล่าวชัดเจน แต่ยังอุบเงียบไว้ก่อนจะโพสต์คลิปหลักฐานช่วงเย็นวันนี้ รวมทั้ง ให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แต่ยืนยันว่าไม่ใช่กล้องวงจรปิดในร้านแน่นอน

นายษิทรา เผยอีกว่า สำหรับเส้นทางการเงินที่ตนนำมาให้ดีเอสไอ เป็นเส้นทางการเงินที่มีการจ่ายให้กันในบางสิ่งบางอย่างถือเป็นหลักฐานเด็ด ส่วนที่เป็นพฤติการณ์ทำให้มาร้องคดีฟอกเงินแก่นายสามารถ เนื่องจากการที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาว่านายสามารถ รับเงินจากบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป เดือนละ 100,000 บาท และตอนนี้บริษัทก็ถูกดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชน จึงทำให้ต้องแจ้งข้อหาฟอกเงินแก่นายสามารถ ตามมาตรา 3(3) มาตรา 5(3) แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ. 2542

“ขอยืนยันว่าการออกมาของพวกตนและบรรดาทนายความทุกคน ไม่มีใครสนิทกับนักการเมืองเป็นการส่วนตัว หรือไปถูกใครจ้างมาให้ทำ ไม่มีใครรับงานการเมือง และจะได้วัดความเอาจริงของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ด้วยว่าเทวดาภายในหน่วยงานจะยังมีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ และที่สำคัญ หลักฐานจะไปถึงเขาหรือไม่ เพราะถ้าหลักฐานไปถึงก็คงไม่มีการเอาไว้“ ทนายตั้ม ระบุ

นายษิทรา เผยต่อว่า ส่วนภาพถ่ายที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียว่าตนถ่ายคู่กับนายกันต์ กันตถาวร 1 ในผู้ต้องหาคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ตนขอชี้แจงว่าเป็นเพราะตนได้ไปออกรายการบันเทิง ซึ่งมี นายกันต์ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ และตนก็เคยถ่ายรูปกับนายกันต์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในพัทยา ตอนไปเที่ยวกับครอบครัวและเจอกันโดยบังเอิญ แต่ภาพมันนาน 2-3 ปีแล้ว ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นเพื่อนกับนายกันต์มาก่อน และไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว มีเพียงแต่ภรรยาของนายกันต์ที่เคยมาปรึกษาเรื่องทางกฎหมายกับตนเท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์อื่นใด

นายษิทรา กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีสำนักข่าวแห่งหนึ่ง มีการรายงานข่าวอ้างว่าทนายแบรนด์เนม เคยร่วมงานกับ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป รวมทั้งพาดพิงถึงทนายคนอื่นๆ ว่าเป็นขบวนการช่วยเหลือบอสพอล ซึ่งมีเจตนาสื่อถึงตน ถือว่าเป็นการนำเสนอข่าวที่ไร้จรรยาบรรณ เพราะทีมทนายความทุกคนพร้อมเสียสละออกมาช่วยคดีนี้ อีกทั้งตนเองเป็นคนแรกที่แจ้งความดำเนินคดีกับบอสพอลด้วยซ้ำ เพราะผู้เสียหายไม่กล้าออกมาให้ข้อมูล ตนจึงเป็นคนรวบรวมทีมทนายความมาช่วยคดีแก่ผู้เสียหาย แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเดียวกับบอสพอล

นายษิทรา กล่าวเสริมว่า ตนไม่เคยไปร่วมงานของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป เพราะไม่ได้รู้จักกับบอสพอลมาก่อน อีกทั้งพยานที่นำไปออกในรายการของสำนักข่าวนี้อ้างว่า ตนเองสนิทกับบิ๊กบอสของบริษัท อักษรย่อ ป.อ. ตนมองว่าเป็นเรื่องปัญญาอ่อน เพราะตนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิ๊กบอส ป.อ.คือใคร ถ้าพยานคนนี้รู้ว่าเบื้องหลังคือบิ๊กบอส ป.อ. แล้วไม่นำพยานคนนี้ไปให้ข้อมูลกับตำรวจ ทั้ง ๆ ที่มีข้อมูลสำคัญ ไม่ใช่มาผลิตเป็นรายงานข่าวที่ไม่มีมูล และอยากถามว่าพยานคนนี้ไม่กลัวโดนเก็บ หรือกังวลด้านความปลอดภัยหรือ ทำไมไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

"ยืนยันจะฟ้องเอาผิดกับนักข่าวผู้ผลิตสกู๊ปนี้และผู้บริหารของสำนักข่าวนี้ ถึงแม้ภายหลังจะมีการแก้ไขคลิปข่าวแล้ว แต่มองว่าไม่ทันแล้ว เพราะทำให้สังคมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกเดียวกับ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป และการอ้างว่าผมเองเป็นทนายแบรนด์เนม มองว่าเป็นการทำให้สังคมหมั่นไส้ ทั้งที่เลิกสวมใส่แบรนด์เนมตั้งนานแล้ว ผมรู้สึกน้อยใจ เพราะเป็นตัวเปิดของคดีบอสพอลแต่แรก จึงมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการดิสเครดิตตนเอง"

อีกทั้งการที่เพจโซเชียลกล่าวหาว่า ตนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา ขอท้าให้เพจเหล่านั้นนำพยานหลักฐานมาเปิดเผยกับตนได้เลย ว่าตนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาตรงไหน พร้อมกันนี้ยังได้แสดงรายได้ให้สื่อมวลชนได้ดูว่า ก่อนหน้านี้ตนมีรายได้หลายล้านบาท เลยทำให้ตนมีเงินที่จะซื้อทรัพย์สินต่าง ๆ ได้ ไม่ได้มาจากธุรกิจสีเทาตามที่กล่าวอ้าง หากไม่สามารถนำพยานหลักฐานที่กล่าวหาตนมาเปิดได้ก็จะฟ้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

นายษิทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทราบว่าพวกบรรดาแม่ข่ายของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จะต้องถูกดำเนินคดีอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณออกมาให้การที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ ก็อาจถูกกันไว้เป็นพยานก็ได้ หากข้อมูลนั้นๆ ใช้มัดตัวเหล่าบรรดาบอสได้ อีกทั้งยังสามารถนำคำให้การเหล่านี้ไปใช้พิสูจน์ในชั้นศาลเพื่อให้บรรเทาโทษสถานเบาได้

สำหรับกรณีรายการของพิธีกรชื่อดัง อักษร ต. ได้มีการให้ออกรายการแก่ผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ในการโฆษณาธุรกิจนั้น ทนายตั้ม เผยว่า ตนยังไม่ได้ฟังว่าพิธีกรได้มีการเชียร์แค่ไหน แต่โดยปกติถ้าไปออกรายการมักไม่เกี่ยวข้อง นอกจากว่าไปพูดเวอร์เกิน ดึงคน ชวนคน แบบนี้อาจโดนได้ ทั้งนี้ กรณีของ ว.วชิรเมธี ทราบว่าทนายเดชา เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ทนายเดชาคงมีพยานหลักฐานพอสมควรถึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ หากไม่มีหลักฐานแล้วไปแจ้งความก็อาจพลาดถูกดำเนินคดีกลับได้

ด้าน พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า วันนี้ทนายตั้มนำพยานสำคัญมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีฟอกเงิน หลังจากนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษจะรับไปดำเนินการโดยเร็วที่สุด ส่วนจะเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ต้องดูข้อเท็จจริงต่อไป สำหรับในส่วนของคดี บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ยังอยู่ในระหว่างการประสานข้อมูลกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาว่า หากเข้าเงื่อนไขก็จะรับเป็นคดีพิเศษต่อไป

พ.ต.ต.วรณัน กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่ตำรวจ บก.ปคบ. เตรียมพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่เหล่าบอสดิไอคอน ในฐานความผิด พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และร่วมกันฟอกเงินนั้น ต้องดูข้อเท็จจริงและตามที่ทางตำรวจจะได้แจ้งมา หากประสานแล้วดูว่ามันเข้าเงื่อนไข ก็จะได้ดำเนินการรับเข้ามาเพื่อทำร่วมกัน ทั้งนี้ ในส่วนของอุปกรณ์ไอทีต่างๆ ที่ดีเอสไอตรวจยึดมาจากพื้นที่เป้าหมาย 2 จุดที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ ยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบพิสูจน์โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และตนได้เร่งประสานไปแล้ว

ที่มา : MgrOnline