รอง ผบช.ก.สั่ง ปอศ.ตรวจสอบ"ดิไอคอนกรุ๊ป" โยกเงินเกือบหมื่นล้านเข้ากระเป๋าดิจิทัล
เผยแพร่ : 18 ต.ค. 2567 17:25:08
• มีการร้อง บช.ก. ตรวจสอบ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป เนื่องจากมีการโยกเงินเกือบหมื่นล้านเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัล
• รอง ผบช.ก. ระบุว่า ได้มอบหมายให้ ตำรวจปอศ. ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว
• รอง ผบช.ก. ยืนยันว่า หากพบว่า ดารา หรือ พระสงฆ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะดำเนินคดีโดยไม่มีละเว้น
ร้อง บช.ก.ตรวจสอบ "ดิไอคอนกรุ๊ป" โยกเงินเกือบหมื่นล้านเข้ากระเป๋าดิจิทัล ด้าน รอง ผบช.ก.เผยมอบหมายให้ ตำรวจปอศ.ตรวจสอบแล้ว ลั่นล็อตสองหากสาวถึงดารา-พระสงฆ์ จับดำเนินคดีไม่มีละเว้น
วันนี้ (17 ต.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อเวลา 14.45 น. นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ สายไหมต้องรอด และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. เพื่อขอให้ตรวจสอบการซื้อขายเหรียญดิจิทัลต้องสงสัยเอี่ยวเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป เพื่อป้องกันการโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สิน
นายเอกภพ กล่าวว่า เมื่อวานตอนช่วงค่ำ ผู้เชี่ยวชาญด้านคลิปโต ได้ส่งข้อมูลมาให้ตนเข้าไปดูเพื่อตรวจสอบ ในระบบ USDT Explorer ซึ่งเป็นบริการดู Tranaction ของเหรียญ USDT ทั้งโลก จึงได้ไปเจอกับ 5 Transaction ที่น่าสงสัย เพราะมีการโอนเงิน USDT จาก chain ETH หรือ ERC-20 กับ chain TRON หรือ (TRC-20) จำนวนมูลค่ารวม 297,093,292 USDT หรือ 9,849 ล้านบาท ออกไปยังกระเป๋าปลายทางที่เป็น Exchange หนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริการ รัฐแคลิฟอเนีย โดยต้นทางมาจาก Exchange จากอีกประเทศหนึ่ง หลังโอนเสร็จ ก็มีผู้ต้องหาคนสำคัญคนหนึ่งในคดี ดิไอคอนกรุ๊ป เข้ามอบตัว และขณะนี้จากที่ตรวจสอบเหรียญ USDT ถูกตั้งขายเป็น ETH (อีเทอเรียม)ซึ่ง USDT เป็น stable coin โดยราคาเหรียญจะอ้างอิงกับเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ ทำให้เชื่อว่าผู้กระทำจงใจโอนเงิน USDT ไปแลกเปลี่ยนทั้งหมดให้เป็น ETH (อีเทอเรี่ยม) ซึ่งเป็นเหรียญที่ตามตรวจยึดยากกว่า USDT ปัจจุบันกระเป๋าปลายทางยังคงขายเหรียญ USDT เป็น ETH อยู่ทุกนาที คาดว่าเป็นการตั้งขายอัตโนมัติ ซึ่งจากข้อมูลทั้งหมด จึงขอให้ทางตำรวจสอบสวนกลาง ช่วยตรวจสอบ Tranaction ดังกล่าว ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีหรือไม่ หากเกี่ยวข้องจะได้ทำการตรวจยึดเพื่อนำมาแลกเป็นเงินมาคืนให้กับผู้เสียหายต่อไป
ต่อมาเวลา 15.00 น. พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. ร่วมแถลงความคืบหน้าดิไอคอนกรุ๊ป
พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียหาย 2,170 ราย มูลค่าความเสียหาย 841 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังมีการรับแจ้งความอย่างต่อเนื่อง ส่วนระยะเวลาในการฝากขังผู้ต้องหาเป็นไปตามกรอบระยะเวลาของกฎหมาย 4 ฝาก 48 วัน เชื่อว่าจะสามารถทำงานได้ทัน หากมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมก็เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนยังประเมินพยานหลักฐานที่แสวงหามาได้อยู่ รวมถึงคำให้การของพยานบุคคลที่เข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้คัดแยกแบ่งผู้เสียหายออกเป็นกลุ่ม หากมีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความเรื่อย ๆ เชื่อว่าจะไม่กระทบกับรูปคดีและพยานหลักฐานที่ได้รวบรวมไว้ โดยผู้เสียหายสามารถรวบรวมหลักฐานการโอนเงินข้อความแชทที่มีการติดต่อขอให้รวบรวมไว้และรีบดำเนินการมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนโดยเร็ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจากการที่ บอสพอล ขอให้ปากคำเพิ่มเติม รวมไปถึงกระแสข่าวที่มีนอมินีให้เข้ามาแจ้งความจะเป็นการดึงเวลาให้ทำสำนวนล่าช้าหรือไม่นั้น พล.ต.ต.โสภณ ระบุว่า เชื่อว่าสามารถทำได้ทันแน่นอนพร้อมย้ำอีกว่า ทาง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการให้จัดเจ้าหน้าที่ในการสืบทรัพย์ และเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องคริปโต โดยได้มอบหมายให้ บก.ปอศ. ที่มีความชำนาญในเรื่องทำคดีเกี่ยวกับสินทรัพย์และคริปโต ให้เข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือพนักงานสอบสวนด้วยอีกส่วนหนึ่ง
“เท่าที่ทราบทรัพย์สินที่ยึดมามีรถหรูจำนวน 24 คัน เงินสด 7.5 ล้านบาท, นาฬิกา 51 เรือน, กระเป๋าแบรนด์เนมและสินค้าแบรนด์เนมจำนวนมาก โดยรวมสินทรัพย์ทั้งหมดประมาณ 210 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้มีการขยายผลอย่างต่อเนื่อง และยอมรับว่ามีผู้ต้องหาบางรายได้ทำการยักย้ายถ่ายเทจำหน่ายถ่ายโอนทรัพย์สิน ในส่วนนี้ก็จะมีความผิดเพิ่มเติมในเรื่องของการฟอกเงินด้วย" รอง ผบช.ก.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สังคมตั้งคำถามว่าดีเอสไอจะแย่งทำคดีหรือไม่ พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ตนมองว่าดีเอสไอ เข้ามาช่วยในเรื่องของการสืบทรัพย์ และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยดำเนินการทางคู่ขนานกัน หากหลังจากนี้พบว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ก็จะส่งมอบให้ทางดีเอสไอ ทางตำรวจจะส่งสำนวนให้ทางดีเอสไอเอง โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการทำงานร่วมกับ ปปง. ในการรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนนี้ นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้มีการประสานให้ทางผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นสำนักอัยการสูงสุด, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค, อย. รวมไปถึงสรรพากรด้วย
พล.ต.ต.โสภณ กล่าวอีกว่าส่วนความคืบหน้าการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องล็อตที่ 2 นั้น ยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นดารา หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือแม้แต่พระสงฆ์ หากตรวจสอบพบว่าเข้าข่ายกระทำความผิด ตำรวจก็จะดำเนินคดีทั้งหมดไม่ละเว้น ซึ่งกรณีที่มีคนมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับพระรูปหนึ่งนั้น ตำรวจก็จะรับเรื่องตรวจสอบ แต่ขณะนี้ตนเองยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดหลักฐานที่มีการแจ้งความ
ที่มา : MgrOnline