วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (10): บทบาทสำคัญทางการเมืองของชาวนาต่อการกอบกู้เสรีภาพ
เผยแพร่ : 18 ต.ค. 2567 16:59:31
คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ความโดดเด่นประการหนึ่งในพัฒนาการทางการเมืองการปกครองของสวีเดน นั่นคือ สวีเดนเป็นประเทศเดียวในยุโรปที่ชาวนาไม่เคยตกเป็นทาสติดที่ดิน (serfdom) ชาวนาสวีเดนจะเป็นชาวนาเสรีมาโดยตลอด อีกทั้งชาวนายังมีสิทธิ์ในการเลือกกษัตริย์ด้วย โดยการมารวมตัวกันประชุม ซึ่งที่ประชุมที่ว่านี้มีคำเรียกในภาษาสวีดิชว่า ting ดังที่ได้กล่าวไปบ้างในตอนก่อนๆ และจะขอกล่าวเพิ่มเติมถึงบทบาทสำคัญของชาวนาสวีเดน นั่นคือ บทบาทสำคัญทางการเมืองของชาวนาต่อการกอบกู้เสรีภาพของสวีเดนและการเกิดสภาฐานันดรที่มีฐานันดรชาวนาด้วย
ก่อนอื่นคงต้องอธิบายว่า ทำไมสวีเดนต้องมีการกอบกู้เสรีภาพ ?
หลายคนอาจจะไม่เคยทราบว่า สวีเดนเคยรวมกับเดนมาร์กและนอร์เวย์ภายใต้ข้อตกลงคาลมาร์ (Kalmar) ส่งผลให้เกิด “สหภาพคาลมาร์” ในปี ค.ศ. 1397 สหภาพคาลมาร์นี้ก็คล้ายๆ สหราชอาณาจักร (United Kingdom) ของอังกฤษที่มีสามอาณาจักรอยู่ร่วมกัน อันได้แก่ อังกฤษ เวลส์ สก๊อตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือ สหภาพคาลมาร์ของสแกนดินเนเวียอยู่ร่วมกันในลักษณะอยู่ภายใต้กษัตริย์องค์เดียวกัน (United Monarchy)
แน่นอนว่า คงมีหลายคนสงสัยว่า อยู่ดีๆ ทำไม เดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน ถึงต้องมาอยู่รวมกันภายใต้กษัตริย์องค์เดียว แล้วกษัตริย์ประเทศไหนได้เป็นกษัตริย์แห่งสหภาพคาลมาร์ ? แล้วกษัตริย์อีกสองประเทศจะยอมได้หรือ ?
เหตุผลและความชอบธรรมในการเกิดสหภาพคาลมาร์ที่ปกครองโดยพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว จากปัญหาที่เกิดจากอำนาจและอิทธิพลของ กลุ่มพ่อค้าเยอรมัน (the Hanseatic League) ต่อเดนมาร์ก นอร์เวย์และสวีเดน ส่งผลให้เกิดความคิดที่ว่า “หนทางที่ดีที่สุดที่จะต้านกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากเยอรมนีนี้คือ การรวมกำลังเป็นหนึ่งเดียว การเชื่อมโยงประเทศเข้าด้วยกันจะทำให้เข้มแข็งกว่าและสามารถที่จะต้านการรุกรานจากเยอรมนีได้ แต่การที่จะรวมกันนี้ ยังหาข้อตกลงในทางรูปแบบไม่ได้”
พวกอภิชนในสวีเดนเองก็ต้องการให้มีอำนาจที่สามารถมาทัดทานกับ Albert of Mecklenburg ที่ยึดที่ดินทรัพย์สินของพวกเขาไป เพราะ Albert ได้รับการสนับสนุนจากพวกเยอรมัน
แต่ในที่สุด รูปแบบที่ตกลงกันได้ในการหาทางร่วมกันในการทัดทานอำนาจอิทธิพลของ the Hanseatic League ก็คือ การกำเนิดสหภาพคาลมาร์ โดยชื่อคาลมาร์นี้ มาจากชื่อของท่าในตะวันออกเฉียงใต้ของสวีเดน อันเป็นสถานที่ที่มีการลงนามทำสัญญาในการก่อตั้งสหภาพที่เป็นการรวมสถาบันกษัตริย์ของสามประเทศภายใต้การนำของกษัตริย์เดนมาร์ก
ทำไมต้องเป็นกษัตริย์เดนมาร์ก ?
เงื่อนไขและสภาพการณ์ที่อำนวยให้ทั้งสามประเทศหาทางออกภายใต้การเป็นสหภาพที่สามประเทศอยู่ภายใต้การนำของกษัตริย์เดนมาร์กนี้ดูจะเป็นเรื่องของความบังเอิญและโชคชะตาไม่น้อยทีเดียว มิฉะนั้นแล้ว กษัตริย์ในแต่ละประเทศจะยอมอยู่ภายใต้กษัตริย์พระองค์เดียวได้อย่างไร ?
แม้ว่าการรวมตัวกันภายใต้กษัตริย์พระองค์เดียวหรือที่เรียกว่าอีกชื่อหนึ่งว่า composite monarchy จะดูเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นจากมุมมองปัจจุบัน แต่ในประวัติศาสตร์ การรวมตัวของรัฐต่างๆ ภายใต้กษัตริย์พระองค์เดียวกันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อยในช่วงต้นยุคสมัยใหม่ และส่วนใหญ่ก็ประสบความสำเร็จในการรวมตัวกัน โดยอัตราส่วนของความล้มเหลวในการรวมตัวกันดังกล่าวแบบนี้ถือว่าเป็นส่วนน้อยในช่วงต้นของยุคสมัยใหม่ ที่ล้มเหลวก็ได้แก่ สหภาพคาลมาร์นี้แหละ ที่เริ่มในปี ค.ศ. 1397 และสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1523
การรวมกันเป็นสหภาพของสามประเทศนี้ ถ้าพิจารณาในแง่ของประชากร จะพบว่าประชากรในสามอาณาจักรนี้มีสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน ร่วมถึงภาษาที่ใช้ในสมัยนั้นก็มีความใกล้เคียงกันกว่าในปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้น ตระกูลอภิชนในสามรัฐนี้ก็มีสายสัมพันธ์ร่วมกันผ่านการแต่งงานกันและกัน ซึ่งการมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นเครือญาติดังกล่าวในหมู่อภิชนในสามรัฐนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความคิดเรื่องการรวมตัวกันมีความเป็นไปได้สำหรับประชาชนทั่วไปในสามรัฐนี้ด้วย
ส่วนเหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังในการรวมตัวกันนี้ นอกจากความคล้ายคลึงกันทางด้านวัฒนธรรมและกฎหมาย นั่นคือ เดนมาร์กและสวีเดนต่างก็มีกฎบัตรที่คล้าย มหากฎบัตร (Magna Carta) ของอังกฤษ อันเป็นกฎหมายที่ตีกรอบการใช้อำนาจของกษัตริย์ อีกทั้งยังมีแรงจูงใจสำคัญที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ นั่นคือ ความวิตกกังวลต่ออิทธิพลของเยอรมนีที่ปรากฏในการปกครองของ Mecklenburg ในสวีเดนส่งผลให้เกิดการรวมตัวกันเพื่อประชาชนชาวสแกนดิเนเวีย และกษัตริย์ในสแกนดิเนเวียก็ต้องการปกป้องชายแดนของสแกนดิเนเวียจากอิทธิพลของบรรดาอภิชนเยอรมัน อีกทั้งต้องการต่อต้านศักดินาแบบเยอรมันที่ทำให้กษัตริย์ทั้งสามประเทศเห็นความจำเป็นในการร่วมมือกันระหว่างสามอาณาจักรในการก่อตัวแนวร่วมต่อต้านเยอรมันขึ้น
และถ้าพิจารณาลงไปรายละเอียดของกลุ่มคนในแต่ละรัฐ จะพบว่า กลุ่มชาวนาต้องการให้เกิดการรวมตัวด้วย เพราะการรวมตัวกันจะนำมาซึ่งการสิ้นสุดของความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนและจะทำให้พวกเขาสามารถทำมาหากินใช้ชีวิตได้อย่างสงบปลอดภัย
ศาสนจักรเองก็สนับสนุนการรวมตัวกัน เพราะจะทำให้การปกครองของฝ่ายสงฆ์สามารถขยายตัวได้มากขึ้น และแน่นอนว่า การรวมตัวกันย่อมจะทำให้พระราชอำนาจของกษัตริย์มีปริมณฑลกว้างขวางครอบคลุมขึ้น แต่ปัจจัยที่เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในสวีเดนคือ กลุ่มอภิชน
การรวมตัวกันเป็นสหภาพเป็นผลงานของกลุ่มอภิชนที่ทรงอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ที่ในอดีตได้จัดตั้งสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (the Royal Council) ขึ้นในแต่ละประเทศ อภิชนกลุ่มนี้เป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ที่กระจายไปทั่วทั้งสองฝั่งบริเวณชายแดนเดนมาร์กและสวีเดน การรวมตัวเป็นสหภาพจะช่วยสร้างหลักประกันให้แก่อภิชนดังกล่าว ให้สามารถสืบสานรักษาอภิสิทธิ์ของตน และจะได้ประโยชน์จากการความมั่นคงทางการทหารและประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ และจะส่งผลให้มีศักยภาพที่จะสามารถมีส่วนร่วมได้กว้างขวางมากขึ้น ดังนั้น พวกอภิชนในแถบชายแดนจะมีความกระตือรือร้นที่จะให้เกิดการรวมตัวกัน
ขณะเดียวกัน การรวมตัวกันภายใต้กษัตริย์อื่นที่ไม่ใช่กษัตริย์สวีเดน ย่อมจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้อภิชนในสภาที่ปรึกษาในสวีเดนสามารถมีอำนาจการปกครองในสวีเดนอย่างอิสระ และโดยปกติ อภิชนเหล่านี้มักจะไม่พอใจกับการที่กษัตริย์มีพระราชอำนาจมากอยู่แล้ว และมักจะหาทางกดดันกษัตริย์ที่พวกเขาเลือกผ่านการออกกฎบัตรและสัญญาที่กษัตริย์ต้องทำร่วมกันกับพวกตน
กล่าวโดยสรุปคือ ทั้งสามรัฐมีความปรารถนาที่จะรวมตัวโดยอยู่ภายใต้กษัตริย์พระองค์เดียวกันโดยมีเหตุผลในเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นสำคัญ
ส่วนในกรณีของสวีเดน ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมมีเหตุผลของตัวเองในการที่จะเข้าร่วมดังกล่าว และปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือ การที่อภิชนสวีเดนจะได้ประโยชน์สูงสุดในการรวมตัวนี้
และด้วยเหตุนี้เองที่เราสามารถกล่าวได้ว่า การกำเนิดสหภาพคาลมาร์จากส่วนของสวีเดน เกิดจากความต้องการและผลประโยชน์ร่วมกันของกษัตริย์ อภิชนและชาวนาที่เป็นตัวแสดงทางการเมืองของสวีเดน โดยมีน้ำหนักความสำคัญมากน้อยแตกต่างกันไป
ดังนั้น สหภาพคาลมาร์ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1397 จึงเป็นการเปิดให้รัฐทั้งสามในสแกนดิเนเวียอยู่ภายใต้กษัตริย์พระองค์เดียวกันเพื่อทัดทานอำนาจของต่างชาติ โดยเฉพาะการคุกคามของเยอรมนี และแรงขับเคลื่อนสำคัญของฝ่ายกษัตริย์คือ พระราชินี Margaret I แห่งเดนมาร์ก
นอกเหนือจากเหตุผลในการเข้าร่วมจัดตั้งเป็นสหภาพที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว การรวมตัวกันภายใต้กษัตริย์พระองค์เดียว (composite monarchy) จะเกิดขึ้นได้ยากลำบากหากไม่เกิดปัญหาในเรื่องการสืบบัลลังก์ในสามรัฐในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้เองที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเรื่องของ ความบังเอิญและโชคชะตา ไม่น้อยทีเดียว เพราะหากไม่เกิดปัญหาดังกล่าวนี้ ก็จะเกิดปัญหาการแก่งแย่งขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งสหภาพ
โชคชะตาความบังเอิญที่ว่านี้เป็นอย่างไร ? (โปรดติดตามตอนต่อไป)
ที่มา : MgrOnline