สงครามไซเบอร์ระอุ! ไทย-สิงคโปร์จัดทัพใหญ่ รับมือภัยคุกคามโลกดิจิทัล

เผยแพร่ : 18 ต.ค. 2567 15:10:27
X
• ไทยเข้าร่วมงาน SICW 2024 (Singapore International Cyber Week)
• ร่วมมือกับสิงคโปร์และประเทศในอาเซียน
• มุ่งเน้นรับมือภัยคุกคามไซเบอร์
• เสริมสร้างความมั่นคงดิจิทัล
• ตอบรับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์
• หวังสร้างความปลอดภัยในโลกไซเบอร์

ไทยบุกเวที SICW 2024 ผนึกกำลังสิงคโปร์-อาเซียนสู้ภัยไซเบอร์ ท่ามกลางการแข่งขันภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรง หวังสร้างความมั่นคงดิจิทัลรับมือภัยคุกคามในอนาคต

พล อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) นำทีมผู้แทนไทยร่วมงาน Singapore International Cyber Week (SICW) 2024 และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 9 (AMCC) ระหว่างวันที่ 14-17 ต.ค.67 ณ Sands Expo & Convention Centre ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้หัวข้อ การสร้างความไว้วางใจและความปลอดภัยในยุคดิจิทัล (Trust and Security in the Digital Era) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและความมั่นคงในโลกดิจิทัล ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่การแข่งขันเข้มข้น เสี่ยงถูกแทรกแซงในระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจโลก ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ต้องคำนึงถึงในการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์

พล.อ.ต.อมร กล่าวว่า สิงคโปร์ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ด้วยแผน "Smart Nation 2.0" ต่อเนื่องจากความสำเร็จของ Smart Nation 1.0 ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้สิงคโปร์ ในฐานะศูนย์กลางด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี ด้วยการจัดตั้ง "ASEAN CERT" ศูนย์กลางเฝ้าระวังภัยคุกคามไซเบอร์ระดับภูมิภาค เชื่อมโยงความร่วมมือประเทศสมาชิกอาเซียนในการเตือนภัยล่วงหน้าและเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น การดำเนินงานเช่นนี้จะช่วยให้การป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับเวอร์ชัน 2.0 นี้ สิงคโปร์ยกระดับด้วยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาผสานกับระบบดิจิทัล ไม่เพียงแค่เสริมความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐให้ประชาชนใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการพัฒนา AI Security เพื่อป้องกันปัญหาจากการใช้งาน AI ที่อาจเป็นภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้ AI เป็นช่องทาง ทำข้อมูลรั่วไหลหรือกระทบต่อการให้บริการสาธารณะ ดังนั้น การวางมาตรการป้องกันที่เข้มงวดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ AI ทำงานได้อย่างปลอดภัยและเป็นประโยชน์สูงสุด โดยมีการผลักดันความร่วมมือกับประเทศอาเซียน ในการสร้างแนวทางป้องกันภัยไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาความมั่นคงทางไซเบอร์ในอนาคต

◉ ดันกฎหมาย เชือดหลอกออนไลน์

ฟากประเทศไทยที่มีพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างก้าวหน้า โดยเฉพาะการขยายเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมกว่า 90% ของประเทศ พร้อมกับการพัฒนาแอปพลิเคชัน "ไทยดี" (ThaiD) สำหรับพิสูจน์ตัวตนดิจิทัล ช่วยให้ประชาชนทำธุรกรรมและใช้บริการภาครัฐได้อย่างปลอดภัย ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 20 ล้านคน อีกทั้งรัฐบาลเร่งดำเนินนโยบาย Cloud First Policy เพื่อย้ายระบบข้อมูลภาครัฐขึ้นสู่คลาวด์ พร้อมโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ (Health Link) ที่นำบิ๊กดาต้ามาพัฒนาระบบสุขภาพ

แต่ความท้าทายด้านการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการหลอกลวงบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ประชาชนจำนวนมาก รัฐบาลจึงออกมาตรการ เช่น การอายัดบัญชีฉ้อโกงอัตโนมัติ และเสริมสร้างความรู้เรื่องภัยไซเบอร์ รวมถึงออกกฎหมายใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 3 ต.ค.67 ให้ผู้บริโภคที่สั่งซื้อของออนไลน์ สามารถเปิดพัสดุเพื่อตรวจสอบสินค้าได้ก่อนจ่ายเงิน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสินค้าไม่ตรงปก รวมถึงการได้รับสินค้าทั้งที่ไม่ได้สั่งได้ สินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ ชำรุดบกพร่อง ไม่ต้องรับ ไม่ต้องจ่าย

"หนึ่งในความสำเร็จของประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ พัฒนากฎหมายและมาตรการด้านไซเบอร์ จากดัชนีความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Global Cybersecurity Index) หรือ GCI ที่จัดทำโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) พบว่า ไทยขยับตำแหน่งจากอันดับที่ 44 ของโลกก่อนช่วงโควิด ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 7 ของโลกในปีล่าสุด ซึ่งการประเมินนี้จะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น การบริหารจัดการทางกฎหมาย การพัฒนาเทคโนโลยีไซเบอร์ การฝึกอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง และการทำงานร่วมกับหน่วยงานระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ เช่น การปิดช่องว่างด้านการใช้เทคโนโลยีที่สะดวกสบายแต่มีความเสี่ยงทางไซเบอร์ ซึ่งต้องใช้การพัฒนาทั้งในด้านกฎหมายและการให้ความรู้แก่ประชาชนควบคู่กันไป" พล.อ.ต.อมร กล่าว

◉ โรแมนซ์สแกมป่วน หลอกโอนเงิน ขู่แฉข้อมูลลับ

อีกการหลอกลวงทางไซเบอร์ที่ไทยยังหนีไม่พ้นคือ "บัญชีม้า" ซึ่งเป็นบัญชีธนาคารที่มิจฉาชีพใช้ในการรับเงินจากการฉ้อโกง เหยื่อมักถูกหลอกให้โอนเงินเข้าบัญชีเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบธนาคาร อีกทั้งมีการหลอกลวงผ่านการกู้เงินออนไลน์ โดยมิจฉาชีพมักสร้างแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มที่อ้างว่าให้บริการกู้เงินด่วน โดยใช้ดอกเบี้ยต่ำเป็นเหยื่อล่อ หลังจากที่ผู้เสียหายกู้เงินผ่านแอปดังกล่าว ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลติดต่อ จะถูกนำไปใช้ในการทวงหนี้หรือใช้ในการหลอกลวงครั้งถัดไป อีกทั้งผู้กู้ยังมักถูกคิดดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่โฆษณาไว้ และต้องเจอกับค่าธรรมเนียมซ่อนเร้น ทำให้เกิดการกู้หนี้ยืมสินที่ไม่เป็นธรรม

นอกจากนี้ โรแมนซ์สแกม (Romance Scam) ยังเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการหลอกลวงที่พบมากขึ้น โดยมิจฉาชีพจะใช้โปรไฟล์ปลอมในโซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์หาคู่เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้หลงเชื่อว่า ตนเองมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเหยื่อ มักจะเป็นการชักชวนให้ส่งเงินหรือของขวัญ โดยอ้างว่า มีปัญหาทางการเงินหรือมีเหตุผลที่ต้องการความช่วยเหลือ หลังจากที่ได้รับเงิน มิจฉาชีพจะหายตัวไปทันที ซึ่งในบางกรณี โรแมนซ์สแกมจะพัฒนาไปสู่การขู่เข็ญเมื่อมิจฉาชีพได้รับภาพถ่ายหรือข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ หากเหยื่อไม่ยอมทำตามคำสั่ง เช่น โอนเงินเพิ่ม มิจฉาชีพจะขู่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวหรือภาพที่เป็นความลับ โรแมนซ์สแกมเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายไม่เพียงแต่ด้านการเงินเท่านั้น แต่ยังทำให้เหยื่อสูญเสียความเชื่อมั่นและศักดิ์ศรี

ขณะที่สิงคโปร์เจอการหลอกลวงมากที่สุดผ่าน ฟิชชิ่ง (Phishing) ซึ่งเป็นการโจมตีที่มิจฉาชีพส่งอีเมลหรือข้อความปลอม เพื่อหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน บัตรเครดิต หรือข้อมูลธนาคาร การโจมตีเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายให้ทั้งบุคคลและองค์กรขนาดใหญ่ได้

"ประเทศไทยตระหนักถึงปัญหาการหลอกลวงทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น จึงได้พัฒนากฎหมายและมาตรการป้องกันภัยที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งสิ่งที่ไทยและสิงคโปร์เห็นพ้องว่าสำคัญไม่แพ้กัน คือ การให้ความรู้แก่ประชาชนในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัย เพราะการป้องกันตัวเองจากการหลอกลวง ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด เช่น การระวังลิงก์ที่น่าสงสัย การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล และการไม่ส่งข้อมูลส่วนตัวผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย การให้ความรู้เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยง และสร้างความปลอดภัยในโลกไซเบอร์" พล อ.ต.อมร กล่าว


ที่มา : MgrOnline